เดชรัต สุขกำเนิด
ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งอายุ 42 ปี ผมไม่เคยเลี้ยงปลาเลย ผมคิดว่าการเลี้ยงปลาเป็นเรื่องยุ่งยาก
และที่สำคัญที่สุดคือ สงสารปลาที่อาจจะต้องมาตาย
ด้วยฝีมือการเลี้ยงที่ไม่ได้เรื่องของผม
แต่ในเมื่อบ้านใหม่ที่บางบัวทองของผม
มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่เคยขุดไว้ และผมเองก็ไม่มีเงินที่จะซื้อดินมาถม
ลูกๆ ทั้งสองก็เลยคิดว่า
การเลี้ยงปลาในบ่อน้ำดังกล่าวน่าจะเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับบ่อน้ำของเรา
แม้ว่าผมจะยังกังวลใจกับความไร้ประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาของตนเอง
แต่ก็อยากสนับสนุนไอเดียความคิดของลูกๆ อีกทั้ง นึกในใจว่า
อย่างน้อยการเลี้ยงปลาในบ่อดิน ก็ไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำ เหมือนการเลี้ยงปลาในตู้ปลา
ตอนแรกลูกสาวและลูกชายอยากจะเลี้ยงปลาคาร์พสีสวย
แต่เมื่อพิจารณาจากความไร้ประสบการณ์และความไร้ฝีมือของผมแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเลี้ยงปลาทับทิม
เพราะสีส้มสวยสดเหมือนปลาคาร์พ แต่ราคาถูกกว่ามาก (ลูกปลาตัวละ 2 บาท)
จากนั้น
เมื่อผมเริ่มมีความชำนาญมากขึ้น ผมจึงซื้อลูกปลาอื่นๆ เช่น ปลาตะเพียน ปลาแรด
ปลายี่สก ปลาจาระเม็ดน้ำจืด มาเลี้ยงเพิ่มเติมขึ้น
เมื่อผมได้เริ่มเลี้ยงปลาขึ้นมาจริงเมื่อปีพ.ศ.
2553
ผมจึงพบว่า
แม้ว่าการเลี้ยงบ่อดินจะไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำเหมือนตู้ปลา
แต่การดูแลรักษาคุณภาพน้ำบ่อปลาขนาดหนึ่งงานกลับเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
แถมบ่อปลาของผมเป็นบ่อปิดที่ไม่สามารถถ่ายเทหรือเปลี่ยนถ่ายกับแหล่งน้ำภายนอกได้
เราจึงต้องดูแลสภาพน้ำให้เกิดความสมดุลในบ่อน้ำเอง
ทุกท่านที่เคยเลี้ยงปลาคงทราบดีว่า
จุดสำคัญที่สุดสำหรับการเลี้ยงปลาคือ การรักษาระดับของออกซิเจนในบ่อปลา
ให้มีปริมาณเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของปลา
ซึ่งปลาแต่ละชนิดมีความต้องการระดับออกซิเจนที่แตกต่างกัน หรือพูดในมุมกลับก็คือ
ปลาแต่ละชนิดจะทนทานต่อระดับออกซิเจนที่ลดต่ำลงได้แตกต่างกัน
ปลาที่ไม่ค่อยทนทานต่อระดับออกซิเจนที่ลดต่ำลงก็คือ
ปลาตะเพียน เพราะฉะนั้น เมื่อระดับออกซิเจนในน้ำลดต่ำลง
ปลาตะเพียนจะขึ้นมาหายใจเหนือน้ำก่อนปลาอื่นๆ
และอาจสุ่มเสี่ยงที่จะนอนหงายและตายก่อนปลาอื่นๆ
มองในมุมนี้ การเลี้ยงปลาตะเพียนจึงเป็นปลาปราบเซียน
ตอนน้ำท่วมทะลักเข้าคลองประปาเมื่อปีพ.ศ. 2554 ผมก็เพิ่งทราบว่า
การประปานครหลวงก็ใช่ปลาตะเพียนเป็นตัวชี้วัดคุณภาพน้ำด้วย
วันนั้นที่น้ำทะลักเข้าคลองประปา ปรากฏว่า ปลาตะเพียนของการประปาฯ
ก็ตายเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ส่วนปลาที่ค่อนข้างทนทานต่อระดับออกซิเจนที่ลดต่ำลงได้ดีคือ
ปลาทับทิม และปลาแรด โดยเฉพาะปลาแรด ซึ่งผมทราบในภายหลังว่า
ปลาแรดมีอวัยวะพิเศษในการขึ้นมาฮุบอากาศเพื่อหายใจได้โดยตรง
ต่างจากปลาชนิดอื่นที่ต้องได้รับออกซิเจนผ่านการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่เหงือก
เมื่อปลาแรดได้รับออกซิเจนจากอากาศโดยตรง
คุณภาพน้ำจึงมีผลต่อปลาแรดน้อยกว่าปลาชนิดอื่นๆ
ดังนั้น
ปลาแรดและปลาทับทิมจึงเหมาะสมกลับผู้เลี้ยงปลามือใหม่อย่างผม
แต่ปลาทับทิมก็สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาที่ผมคิดไม่ถึง
นั่นคือ มันขยันออกลูกออกหลานมาก ตอนแรกผมคิดว่าปลาทับทิมเป็นหมัน แต่ภายหลังจึงทราบว่าบริษัทที่พัฒนาสายพันธุ์ปลาทับทิมขึ้นมา
เขาใส่ฮอร์โมนเพศผู้ให้ปลาทับทิม
ปลาทับทิมทั้งหมดจึงกลายเป็นปลาตัวผู้ที่ไม่สนใจจะขยายพันธุ์ จึงอ้วนเอาอ้วนเอา
ได้น้ำหนักดีตามที่ตลาดต้องการ
ผมเพิ่งมาทราบในภายหลังว่า
ปลาทับทิมที่ผมนำมาเลี้ยงเป็นปลาที่ยังไม่ผ่านการทรีตฮอร์โมนเพศผู้จึงสามารถออกลูกออกหลานได้ตามปกติ
ยิ่งปลาในบ่อของผมไม่มีปลากินเนื้อเช่นปลาช่อน ไว้คอยจัดการลูกปลากินพืช ดังนั้น
ไม่นานบ่อปลาของผมก็เต็มไปด้วยปลาทับทิม
เมื่อปลามีปริมาณมากขึ้น
ปลาก็ต้องการหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปมากขึ้น ไปพร้อมๆกับหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ไม่นานระดับของออกซิเจนในน้ำก็จะลดต่ำลง
จนส่งผลกระทบกับปลาที่เลี้ยงไว้ได้
สิ่งที่ผมลืมคิดไปในการเลี้ยงปลาในบ่อดินคือ
การเพิ่มระดับออกซิเจนในบ่อปลา
เพราะการเลี้ยงปลาในตู้ปลาเราก็แค่ใช้ปั๊มออกซิเจนเข้าไป แต่เมื่อบ่อปลามีขนาดใหญ่มาก
เราคงไม่สามารถทำเช่นนั้นเป็นประจำได้
แล้วเราจะเพิ่มระดับออกซิเจนในบ่อปลาของเราได้อย่างไร
จุดสำคัญของการเพิ่มออกซิเจนในบ่อปลาแบบกึ่งธรรมชาติคือ
การสังเคราะห์แสงของแพลงค์ตอนพืชในบ่อปลา
ที่ทำงานเหมือนกับต้นไม้ทั่วไปที่ใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง
และผลิตออกซิเจนออกมา แล้วละลายอยู่ในบ่อปลา เป็นออกซิเจนของปลาต่อไป
แต่การสังเคราะห์แสงดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะในตอนกลางวันเท่านั้น
พอถึงตอนกลางคืน แพลงค์ตอนพืชก็หยุดการสังเคราะห์แสง
เหลือแต่การหายใจที่เอาออกซิเจนเข้าไปและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเช่นเดียวกับเหล่าฝูงปลาทั้งหลาย
ดังนั้น ในตอนกลางวัน
ระดับออกซิเจนในบ่อปลาจึงอยู่ในระดับสูง
ปลาจึงสามารถดำลงไปว่ายเล่นและอาศัยอยู่ในระดับน้ำลึกที่มีออกซิเจนน้อยกว่าได้
แต่พอถึงตอนกลางคืน ระดับออกซิเจนในบ่อปลาจะเริ่มลดต่ำลง และจะต่ำสุดในช่วงเช้ามืด
เพราะฉะนั้น เมื่อตื่นขึ้นมา บางครั้ง
ผมจึงเห็นฝูงปลาขึ้นมาหายใจที่ผิวน้ำกันมากมาย แบบที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ปลาลอยหัว
ยิ่งหากช่วงใดไม่มีแดดในตอนกลางวัน
วันนั้นระดับออกซิเจนในน้ำจะลดต่ำลง เพราะแพลงค์ตอนพืชสังเคราะห์แสงได้น้อย
พอถึงช่วงกลางคืนระดับออกซิเจนก็จะยิ่งลดต่ำลง
จนปลาลอยหัวกันเต็มไปหมดในวันรุ่งขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงฝนแรกของฤดูฝน
ซึ่งฝนจะชะล้างมลพิษในอากาศ โดยเฉพาะฝนกรดลงสู่บ่อปลา ทำให้ปลาช็อคน้ำ
และแพลงค์ตอนพืชจำนวนมากก็ตาย
ช่วงนั้นระดับออกซิเจนก็จะลดต่ำลงจนกลายเป็นช่วงวิกฤตของการเลี้ยงปลาเลยทีเดียว
ในระยะสั้น
การเพิ่มระดับออกซิเจนโดยใช้น้ำพุจากเครื่องปั้มน้ำก็เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องช่วยยื้อชีวิตปลา
จนกว่าแดดจะออกและระดับออกซิเจนจะเพิ่มสูงขึ้น ถึงจะปิดปั้มน้ำได้
และเปิดอีกทีก่อนมืดจนถึงดึก
แม้ว่ามาตรการนี้จะช่วยยื้อชีวิตปลาไว้ได้ดีพอควร
แต่ก็ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน และไม่สามารถช่วยให้ปลามีสภาพความเป็นอยู่
หรือเรียกแบบเท่ๆ ว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ผมจึงจำเป็นต้องค้นหาแนวทางที่ยั่งยืนกว่าที่เป็นอยู่
จากการค้นคว้าผมจึงทราบว่า
นอกจากในบ่อปลาของผมจะประกอบด้วยสมการการสังเคราะห์แสงของแพลงค์ตอนพืช (สร้างออกซิจน)
และการหายใจของปลาและแพลงค์ตอนทั้งหลายแล้ว (ใช้ออกซิเจน) ผมยังทราบว่า
ในบ่อของผมยังมีสมการการย่อยสลายของอินทรีย์สารต่างๆ (เช่น เศษอาหารปลาที่เหลือ
ขี้ปลา) โดยจุลินทรีย์ต่างๆ ในบ่อปลา ซึ่งก็ใช้ออกซิเจนเช่นกัน ดังนั้น
ตรงนี้จึงมีส่วนทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงด้วย
จริงแล้วๆ
การย่อยสลายอินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นสาเหตุหลักของการเน่าเสียของแหล่งน้ำต่างๆ
โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่มีการระบายน้ำทิ้งของอุตสาหกรรมและชุมชน
แต่ผมเองกลับลืมสมการนี้ไป
แนวทางการจัดการเรื่องนี้คือ
การลดการย่อยสลายอินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน
มาเป็นการใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนมาช่วยย่อยสลายแทน (จริงๆ ต้องเรียกว่า
มาแย่งย่อยอินทรีย์สาร)
เพราะการย่อยของจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนจะไม่ใช้ออกซิเจน
ทำให้ระดับออกซิเจนในบ่อปลาไม่ลดลง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แพลงค์ตอนในบ่อปลาตายลง
เราก็ต้องใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนไปช่วยจัดการ
เพื่อไม่ให้ระดับออกซิเจนในบ่อปลาลดลง
การนำจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนมาเพิ่มในบ่อปลาทำได้
3
วิธีคือ วิธีแรก เทน้ำหมักชีวภาพลงไปโดยตรง ตอนแรกๆ ผมก็เน้นวิธีนี้
เพราะง่ายดี แต่ข้อเสียคือ จุลินทรีย์ในน้ำหมักจะอยู่เฉพาะบริเวณผิวน้ำ
ไม่ได้ลงไปถึงก้นบ่อ แถมยังค่อนข้างเปลืองน้ำหมักด้วย
ผมเลยมาปรับใช้วิธีที่สองที่เน้นลงไปจัดการกับอินทรีย์สารถึงก้นบ่อก็คือ
การปั้น EM
ball หรือ ระเบิดจุลินทรีย์ วิธีนี้ก็ดีมาก
โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมที่มีตะกอนอินทรีย์สารลงไปจมอยู่ก้นบ่อจำนวนมาก ผมก็ต้องใช้ EM ball เพื่อจัดการกับอินทรีย์สารเหล่านี้
ก่อนที่เจ้าจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนจะเข้ามาจัดการ
และทำให้ระดับออกซิเจนในบ่อปลาลดลง
แม้ว่า การใช้ EM ball จะดีแต่ก็ใช้เวลาค่อนข้างมาก และยังเน้นไปจัดการที่ก้นบ่อ
ผมก็เลยขอคำแนะนำจากอาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร)
จากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องที่แวะมาเยี่ยมบ้าน
อาจารย์ยักษ์แนะนำให้วางกองฟางไว้ตามมุมบ่อ จากนั้นใส่มูลวัวหรือหมู
แล้วราดน้ำหมักชีวภาพลงไป
กองฟางเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นจุดขยายจำนวนจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน
โดยไม่ต้องเทน้ำหมักชีวภาพลงไปบ่อยๆ
จึงทั้งประหยัดเวลาและช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำได้อย่างดียิ่ง
เมื่อผมทดลองดำเนินการ
ปรากฏว่าคุณภาพน้ำในบ่อปลาของผมดีขึ้นมาก จนไม่ต้องใช้ปั้มน้ำเพื่อทำน้ำพุอีกเลย
ยิ่งเมื่อเกิดน้ำท่วม
ปลาทับทิมที่รักอิสระทั้งหลายก็พากันหนีออกไปจากบ่อปลา จนปริมาณลดลงบ้าง
ขณะเดียวกัน ผมก็ได้ปลาล่าเนื้อคือ ปลาช่อน หลงเข้ามาในบ่ออีก 2-3 ตัว ปรากฏว่า ปลาช่อนก็เข้ามาควบคุมจำนวนลูกปลาในบ่อได้เป็นอย่างดี
ทำให้ปริมาณปลาในบ่อไม่มากเกินไป
ดังนั้น เราจึงสามารถสรุปได้ว่า
สมดุลของออกซิเจนในบ่อปลาประกอบด้วยสมการชีวภาพ 4 สมการคือ
ก) สมการการสังเคราะห์แสงของแพลงค์ตอนพืช
(ผลิตออกซิเจน)
ข) สมการการหายใจของพืชและปลา
(ใช้ออกซิเจน)
ค) สมการการย่อยสลายอินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน
(ใช้ออกซิเจน)
ง) สมการการย่อยสลายอินทรีย์สารโดยจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน
(ไม่ใช้ออกซิเจน)
ซึ่งหากเราสามารถรักษาความสมดุลของสมการทั้ง
4
สมการนี้ไว้ได้อย่างดี ปลาของเราก็จะเติบโตดี
โดยไม่ต้องใช้พลังงานและไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเพิ่มออกซิเจนโดยการปั้มน้ำอีกด้วย
นี่คือ
การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ภายในบ้าน ที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ
ของลูกปลาไม่กี่ร้อยตัว แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นประสบการณ์ ความเข้าใจ
และความรู้ของผู้คนในบ้าน โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ ที่ผูกพันกับปลาในบ่อนี้
ในฐานะเพื่อนและคุณครูไปพร้อมๆ กัน
ผมแน่ใจว่า
เช่นเดียวกับระบบนิเวศทั้งหลาย บ่อเล็กๆ
แห่งนี้ยังคงมีเรื่องให้เราเรียนรู้ได้อีกมาก ขอเพียงแค่เราใส่ใจชีวิตทุกชีวิตที่อยู่รอบตัวเรา
ขอบุคณมากเลยครับ ได้ความรู่มากเลย สำหรับมือใหม่
ตอบลบยินดีค่ะ
ตอบลบพี่ครับน้ำหมักชัวภาพนี่ ซื้อที่ไหนหรอกครับ
ตอบลบลูกปลากระโห้ที่ผมเลี้ยงไว้ในกระชังตายช่วงเช้าครับ ตามลำตัวไม่มีบาดแผลหรือความผิดปกติ เลี้ยงมาได้ 1 เดือนตายไป 4 ตัว จาก 100 ตัว เท่าที่ผมสังเกตุดู มันจะขึ้นมาผงาบๆช่วงเช้ามืด กับช่วงใกล้ๆ 6 โมงเย็น นอกนั้นแทบไม่เห็นมันขึ้นมาเลยครับ น่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรครับ แล้วปลากระโห้มีระดับความทนทานต่อออกซิเจนเยอะขนาดไหนครับ
ตอบลบขอบคุณ จขกท. ที่นำหัวข้อดีๆมาเผยแพร่คับ
ตอบลบมีเรื่องอยากถามนิดหน่อยครับ
ตอบลบน้ำหมักชีวภาพที่ราดลงไปนะ
ตอบลบแบบไหนก็ได้หรือป่าวครับ
ละเอียด เข้าใจง่าย ทำได้ง่ายค่ะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะคะ