บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

ส่องความสุขชาวเดนมาร์ก: มองลอดรัฐสวัสดิการเห็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรม

บทความนี้ถูกเขียนครั้งแรกในปี ๒๕๔๘ เป็นบทความหนึ่งในหนังสือ “เรียนรู้โลก ห่างไกลโรค” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติในขณะนั้น หรือสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติในขณะนี้
และในโอกาสที่ “เดนมาร์ก” ขึ้นแท่นประเทศอันดับหนึ่งของโลก ที่ได้ชื่อว่า “ประเทศที่มีความสุขมากที่สุด” อีกครั้ง ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้นำบทความที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์เมื่อครั้งที่เคยอยู่ที่เดนมาร์กในระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็เป็นระยะเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ กลับมาให้เพื่อนได้อ่านกันอีกครั้ง
ธรรมชาติแบบนี้หาได้ทั่วไปในเดนมาร์ก


ส่องความสุขชาวเดนมาร์ก:
มองลอดรัฐสวัสดิการเห็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรม
รุ่งทิพย์  สุขกำเนิด
ขึ้นชื่อว่า ความสุข  ใครๆก็อยากมี คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่กำลังไล่ล่าหาความสุขอยู่?  ถ้าใช่ลองมาติดตามค้นหาความสุขของชาวเดนมาร์ก  ประเทศซึ่งได้ขึ้นชื่อว่า  มีความสุขที่สุดในโลก กันเถอะ
แผนที่โลกแห่งความสุข หรือ World Map of Happiness”  เป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญของนายเอเดรียน ไวท์ (Adrian White) นักจิตวิทยาสังคมวิเคราะห์ จากมหาวิทยาเลสเตอร์ (University of Leicester) ประเทศอังกฤษ  โดยเขาได้หาความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่ง สุขภาพ และการศึกษา กับตัวแปรด้านความสุข (ความพึงพอใจในชีวิต)  หนึ่งในข้อสรุปที่ได้พบว่าตัวแปรด้านสุขภาพนั้นมีความสัมพันธ์สูงกับตัวแปรความสุข รองลงมาคือความมั่งคั่ง และการศึกษา ตามลำดับ[I] หรือกล่าวได้ว่าความพึงพอใจในชีวิตหรือการมีความสุขของคนทั่วไปนั้นมาจากการมีสุขภาพดี มากกว่าความร่ำรวยและการมีการศึกษาสูงเสียอีก  และนั่นเป็นที่มาของการจัดอันดับความสุขของประเทศต่างๆในโลกรวมถึงประเทศเดนมาร์ก  เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๔๙  และมาปีนี้ ปี ๒๕๕๖ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ได้ตอกย้ำจากผลการจัดอันดับให้ “เดนมาร์ก” เป็นประเทศที่มีประชากรที่มีความสุขที่สุขในโลกอีกครั้งหนึ่ง[๑] ในขณะที่ประเทศไทยติดอันดับที่ ๓๖ จาก ๑๕๖ ประเทศทั่วโลก[II]

ความสุขที่รัฐมอบให้
ปี ค.ศ.๑๘๘๓ เยอรมนีเป็นประเทศแรกในโลกที่รัฐเริ่มนำแนวคิดด้านประกันสังคมมาใช้   ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นในการผลักดันให้รัฐบาลประเทศต่างๆในยุโรป รวมถึงประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อย่างเดนมาร์ก ต้องจัดการประกันสังคมที่มีคุณภาพสูงขึ้นเข้าไว้ในวาระทางการเมืองด้วย
จากแรงผลักดันทางการเมืองภายนอกประเทศดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับความไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนของระบบสวัสดิการสุขภาพแบบเดิม ในการกำจัดความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามในแถบยุโรป ทำให้เกิดแรงกดดันเพื่อการแก้ไขปัญหาขึ้นในประเทศเดนมาร์กในหลายด้าน  อาทิ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการปฏิรูปด้านการเมือง  ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๖๐-๘๐
ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้เศรษฐกิจในประเทศเดนมาร์กมีการขยายตัวสูงขึ้นและมีการว่างงานต่ำ  ในขณะที่การปฏิรูปทางการเมืองทำให้เดนมาร์กมีรัฐบาลแบบผสมพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย เป็นพรรคการเมืองสำคัญในขณะนั้น  ซึ่งทั้งสองเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการปฏิรูปและดำรงอยู่ของระบบสวัสดิการสังคมใหม่ในช่วงเวลาต่อมา[III]
ในปี ๑๙๔๕ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นรัฐบาลของประเทศเดนมาร์กในขณะนั้น  ได้มีการเสนอเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมใหม่  แต่เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการปฏิรูปนโยบาย จนในช่วงกลางทศวรรษที่ ๑๙๕๐ จึงได้มีนโยบายด้านสวัสดิการสังคมซึ่งครอบคลุมเรื่องบำนาญ (ปี ๑๙๕๖) ค่าชดเชยการเจ็บป่วย (ปี ๑๙๖๐) ประกันทุพลภาพ (ปี๑๙๖๕) และผลประโยชน์จากการตกงาน ในพระราชบัญญัติสังคมใหม่ (a new social statue) และในระหว่างปี ๑๙๗๑-๗๓ ได้มีการปฏิรูปการจ่ายค่ารักษาพยาบาล และนำเสนอกฎหมายเรื่องการประกันสุขภาพ พร้อมกับยกเลิกกองทุนช่วยเหลือเรื่องการเจ็บป่วย (the contributory sickness funds) และเสนอให้ใช้กองทุนภาษีประกันสุขภาพแห่งชาติแทน (tax-funded national health insurance) ซึ่งการปฏิรูปทางสังคมและสุขภาพทั้งหมดถูกทำขึ้นภายใต้กฎหมายว่าด้วยความช่วยเหลือทางสังคม (Social Assistance Act) ในปี ๑๙๗๔[IV]
เดนมาร์ก (รวมถึงสวีเดนและนอร์เวย์) ได้เลือกใช้การจัดสวัสดิการในรูปแบบ สวัสดิการสแกนดิเนเวียหรือ “Scandinavian Welfare Model”[๒] โดยรัฐจะมีบทบาทในการบริหารจัดการและจัดสรรงบประมาณของระบบความมั่นคงปลอดภัยของสังคม บริการสุขภาพ และการศึกษา  ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากกว่าประเทศอื่นๆในยุโรป ด้วยเหตุผลดังกล่าว ระบบสวัสดิการในเดนมาร์กจึงถูกดำเนินการคู่ไปกับระบบภาษีที่สูง นอกจากนี้รูปแบบการจัดการองค์กรแบบสแกนดิเนเวียน ยังถูกทำให้ง่ายและรวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆในยุโรป
หัวใจหลักของ  “Scandinavian Welfare Model” คือ ผลประโยชน์ทั้งหลายจะต้องนำสู่พลเมืองเพื่อบรรลุสภาวะที่เหมาะสมโดยใช้หลักความเท่าเทียมกัน  และปราศจากการแบ่งแยกสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยระบบจะครอบคลุมถึงทุกคนและผลประโยชน์ทั้งหลายจะต้องถูกจัดสรรให้แบบรายบุคคล  เช่น สิทธิของผลประโยชน์ของหญิงที่แต่งงานแล้วต้องแยกจากสิทธิประโยชน์ของสามี เป็นต้น
ระบบสวัสดิการของประเทศเดนมาร์กนั้น ครอบคลุมบริการฟรีด้านสุขภาพและการศึกษาสำหรับพลเมืองทุกคน  และผลประโยชน์เพิ่มเติมที่ครอบคลุมเรื่องการดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง การเจ็บป่วย และเบี้ยบำนาญ กรณีผ่านข้อตกลงว่าด้วยการสะสมเงินของนายจ้างและลูกจ้างในตลาดแรงงานของประเทศสแกนดิเนเวียด้วย [V]
  
องค์กรชุมชน สร้างเสริมความสุข
ขณะที่ภาครัฐได้จัดสวัสดิการสังคมในภาพรวม  ในส่วนของภาคประชาชนเองก็ได้มีการสะสมทุนทางสังคมขึ้นอย่างเข้มแข็งและกว้างขวางในสังคมเดนมาร์กมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ ๑๘๘๐  โดยเดนมาร์กถูกวิเคราะห์ว่ามีโครงสร้างทุนทางสังคม (social capital) ที่เข้มแข็ง ทั้งนี้เนื่องมาจาก แต่เดิมนั้นประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีลักษณะเป็นฟาร์มเดี่ยว ที่ประชากรยึดมั่นในขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด  แต่ก็มีการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็งของประชาชนในชนบท โดยเฉพาะกลุ่มชาวนา และเกษตรกรในรูปสหกรณ์  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นการสะสมทุนทางสังคมและการเคลื่อนไหวของชนชั้นชาวนาซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันอำนาจการบังคับควบคุมจากทุนนิยม
จุดเริ่มของการรวมกลุ่มของเกษตรกร เนื่องมาจากการเป็นเกษตรกรรายเดี่ยวที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ทั้งจากการถูกกดราคาสินค้าเกษตร และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องซื้อวัสดุทางการเกษตรในราคาแพง ดังนั้น การรวมกลุ่มในลักษณะสหกรณ์การเกษตรเท่ากับเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองในการซื้อและขายสินค้า เมื่อการเคลื่อนไหวในการต่อรองสำเร็จ จึงก่อให้เกิดการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ต่างๆเพิ่มขึ้นตามมา เช่น ในปี ๑๘๘๒ มีการตั้งสหกรณ์ผลิตภัณฑ์นมและสหกรณ์การเกษตรด้านอื่นๆ   ในปี ๑๘๘๓ มีการตั้งสหพันธ์ผู้ซื้อหญ้าแห้ง   ปี ๑๘๘๗ ตั้งสหกรณ์โรงฆ่าสัตว์   และมีการตั้งสหกรณ์ธนาคารซึ่งมีสาขาในเมืองต่างในปี ๑๙๑๔  ซึ่งในความรู้สึกของชาวเดนมาร์กแล้ว การจัดตั้งสหกรณ์นั้นเป็นเหมือนองค์กรธรรมดาที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของประชาชนในชนบทของเดนมาร์ก[๓]  
การเคลื่อนไหวของกลุ่มสหกรณ์ในเดนมาร์กจัดว่ามีความคึกคักและกว้างขวางมากที่สุดในบรรดาประเทศแถบสแกนดิเนเวียด้วยกัน  ซึ่งการเคลื่อนไหวของขบวนการชาวนานี้ยังเชื่อมโยงไปถึงการทำงานของพรรคเกษตรกร (farmer’s party) และการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของชนบท (rural cultural movement) ในเดนมาร์ก เช่น การเคลื่อนไหวของชุมชนและโบสถ์ที่ชุมชนเป็นผู้จัดการและรัฐสนับสนุนงบประมาณบางส่วน และการเคลื่อนไหวของวิทยาลัยชุมชนที่ชุมชนหรือองค์กรภาคประชาสังคมเป็นเจ้าของและรัฐให้การสนับสนุนส่วนหนึ่ง อีกด้วย
เป็นที่ชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของชาวนา(เกษตรกร)เป็นพลังจากเบื้องล่าง จากสังคมชนบทของกลุ่มคนที่มี จิตใจสาธารณะหรือ  “Public-spirited” โดยมีลักษณะเป็นงานอาสาสมัคร เป็นคนกันเองที่รู้จักกัน สามารถพูดคุยแบบจับเข่าคุยกันได้  มีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน  มีปฏิสัมพันธ์ในระดับใหญ่ขึ้น ข้ามกลุ่มและเชื่อมโยงในลักษณะเครือข่ายสมาคมสหกรณ์ มีความไว้วางใจในตัวแทนซึ่งเป็นกรรมการ เหล่านี้ประกอบกันจนเห็นถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ทั้งความเป็น เกษตรกรรมเท่าๆกับความเป็นวัฒนธรรมสมาคมซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและมาตรฐานการศึกษาของประชาชนในชนบทที่สูงกว่าปกติ และเกิดการพัฒนาทางการศึกษาเฉพาะทางในอาชีพของเขาที่ลึกและเป็นประโยชน์กับองค์กรของเขาโดยองค์กรของเขาเอง[VI]และความไว้เนื้อเชื่อใจได้นี้ได้นำมาซึ่งความปลอดภัยในสังคม

สังคมนิยม ความหมายที่แตกต่าง ความสุขที่แตกต่าง
จากที่เล่ามาแล้วข้างต้น เราคงจะพอเห็นเค้าลางว่าที่มาของความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิตของชาวเดนมาร์กที่ถูกจัดไว้เป็นอันดับต้นโดยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์และสหประชาชาตินั้นน่าจะมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง  การได้รับสวัสดิการสังคมที่ดีซึ่งจัดให้โดยรัฐ และการสร้างระบบธุรกิจในรูปสหกรณ์ที่สามารถป้องกันการเอาเปรียบจากทุนนิยมอื่น (และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม) จนสานต่อไปถึงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นในสังคม ซึ่งทั้งสองสิ่งข้างต้นนั้นตรงกับหลักปรัชญาของ สังคมนิยม ที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างประเทศเดนมาร์ก
โดยปรัชญาคำว่า สังคมนิยม มีความหมายว่าเป็นสังคมที่นิยมความเท่าเทียม หรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า Egalitarian คือการให้คุณค่ากับความเท่าเทียมกันมากกว่าการให้คุณค่ากับความโดดเด่นหรือความร่ำรวยของบุคคลบางคนในสังคม  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสังคมที่นิยมความเท่าเทียมมักจะทนไม่ได้ที่จะเห็นคนไร้ที่อยู่อาศัย ไร้การศึกษา หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยหรือทุพลภาพ เนื่องจากไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล  ซึ่งตรงข้ามกับบางสังคมที่นิยมความเท่าเทียมเช่นกัน แต่คนทั่วไปกลับให้คุณค่ากับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ในขณะที่ละเลยที่จะให้ความสนใจกับคนที่ยากจน ไร้ที่อยู่อาศัย โดยคิดว่าเป็นกรรมเก่า  หรือการที่คนในสังคมส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับคนที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกทางวิชาการแต่ไม่สนใจกับการมีคนไม่รู้หนังสือในสังคมของตน  เป็นต้น
คนไทยทั่วไปมักตีความว่า สังคมนิยมจะต้องดำเนินการโดยรัฐ ในรูปแบบของการยึดเอาทรัพยากรการผลิตจากคนต่างๆในสังคมมาดำเนินการสร้างผลผลิตแล้วแบ่งปันผลประโยชน์ออกไปอย่างเท่าเทียมกัน (ดังตัวอย่างประเทศคอมมิวนิสต์) เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการครอบครองทรัพยากรการผลิต  อย่างไรก็ดีในสังคมเดนมาร์กและอีกหลายประเทศในยุโรปกลับตีความต่างออกไป  รัฐบาลเดนมาร์กไม่สนใจเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของการครอบครองทรัพยากรการผลิตมากเท่ากับการแบ่งปันและกระจายผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นให้เท่าเทียมและทั่วถึง รัฐจะปล่อยให้การทำธุรกิจเป็นไปโดยเสรีหรือเป็นแบบทุนนิยมเต็มรูป  และใช้วิธีการจัดเก็บภาษีในระดับสูงแตกต่างกันแทน และนำมาจัดเป็นสวัสดิการทางสังคมอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงดังที่กล่าวไปแล้ว
แม้รัฐบาลเดนมาร์กจะไม่ควบคุมเรื่องการทำธุรกิจ แต่ก็มีมาตรการควบคุมเรื่องผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ควบคุมราคาที่ดินไม่ให้สูงเกินไปเพื่อที่ทุกคนจะสามารถมีโอกาสได้เป็นเจ้าของที่ดินได้ (ซึ่งต่างจากประเทศไทย) และรัฐก็สามารถนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ต่างๆเพื่อสร้างสวัสดิการให้แก่สังคมได้ด้วย
คำว่าสังคมนิยมยังถูกนำมาใช้ในการจัดการธุรกิจ โดยมากมักอยู่ในรูปแบบของการทำสหกรณ์ต่างๆ ดังที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และประเทศเดนมาร์ก
นอกจากนี้ปรัชญาของสังคมนิยมยังถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเป็นแนวปฏิบัติของคนในสังคม หรือเรียกว่าเป็น สังคมนิยมโดยวัฒนธรรม ซึ่งจะพบเห็นได้เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกในรายละเอียดของการวางระเบียบในสังคมหรือแม้แต่การปฏิบัติต่อกันของชาวเดนมาร์กเอง  ตัวอย่างเช่น  การนำไปใช้ในเรื่องของการสร้าง  community home town  การจัดระบบการศึกษาในระดับต้น  การจัดกิจกรรมกลุ่ม   การจัดตั้งระบบการบริหารกิจการไฟฟ้าขนาดย่อม  และการให้บริการทางการแพทย์ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่มาของความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิตที่เติมเต็มในส่วนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

สังคมเดนมาร์ก สังคมนิยมโดยวัฒนธรรม
การเจาะลึกความคิด วิถีปฏิบัติ และปฏิสัมพันธ์ของสังคมชาวเดนมาร์กที่นิยมความเท่าเทียม และเน้นความสุขจากการอยู่ร่วมกันในครั้งนี้ จะอาศัยประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ได้ไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในประเทศเดนมาร์กพร้อมกับครอบครัว  จนได้มีโอกาสรู้จักสนิทสนมกับเพื่อนชาวเดนมาร์กมากขึ้นกว่าเมื่อครั้งในอดีตที่เป็นเพื่อนร่วมงานในช่วงเวลาสั้นๆ และการได้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น  และประสบการณ์ตรงจากการรับบริการสวัสดิการสังคมที่ภาครัฐจัดให้ เช่น โรงพยาบาล การผ่าตัด โรงเรียนอนุบาล ฯลฯ ซึ่งจะสะท้อนความสุขที่เกิดจากความเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรม ในสังคมของพวกเขาเองและยังเผื่อแผ่แก่เพื่อนร่วมสังคมชาติอื่นๆในประเทศเดนมาร์กด้วย ดังที่จะได้กล่าวถึงในตัวอย่างต่อไปนี้
community home town : ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ (ร่วมกัน) ครอบครัวเดนมาร์กนั้นเป็นแบบครอบครัวเดี่ยวที่มีสมาชิกในบ้านเฉพาะพ่อแม่ลูกเท่านั้น และเมื่อลูกโตพอ พวกเขาจะแยกไปมีบ้านใหม่ของตนเองไม่ว่าจะมีครอบครัวหรือไม่ก็ตาม  เราจึงพบว่าในเดนมาร์กนั้นมีบ้านเช่ามากมาย และการอยู่บ้านเช่าจนแก่เฒ่าก็เป็นเรื่องปกติในสังคมนี้ และเมื่อสูงอายุก็จะสามารถรับสวัสดิการการเข้าอยู่ในบ้านพักคนชรา ที่จัดไว้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเป็นสวัสดิการสังคมของชาวเดนมาร์ก  อย่างไรก็ดี ชาวเดนมาร์กไม่น้อยที่มีบ้านเป็นของตนเองและในบรรดาคนที่มีบ้านเป็นของตนเองจำนวนไม่น้อยที่จัดการระบบภายในหมู่บ้านที่ตนเองอาศัยเป็นแบบ community home town
โดยหลักการของ community home town  ก็คือการรวมกลุ่มของผู้อยู่อาศัยที่มีแนวคิดเหมือนกันในเรื่องการจัดการในหมู่บ้านของตน โดยเริ่มต้นที่ผู้ต้องการซื้อที่ดินปลูกบ้านและมีความคิดเดียวกันจะต้องมาพูดคุยกัน ถึงลักษณะของหมู่บ้านในฝัน ในขั้นตอนของการคุยกันนั้น ก็จะมีการชักชวนและเลือกสมาชิกในหมู่บ้านไปพร้อมๆกัน จนเมื่อความคิดตกผลึกว่าหมู่บ้านในฝันเป็นอย่างไร และมีวิธีจัดการอย่างไร ใครจะเป็นสมาชิกบ้าง เมื่อนั้นถึงจะเริ่มลงหลักสร้างหมู่บ้านกัน 
ตัวอย่าง community home town หนึ่งมีหลักการว่าในหมู่บ้านของเขาจะต้องมีสนามเด็กเล่นที่ทุกบ้านเข้าถึงได้เมื่อมองออกจากประตูหน้าบ้าน  และต้องมีพื้นที่สวนส่วนรวมที่ทุกคนสามารถปลูกพืชสวนครัวไว้กินได้และมีห้องสาธารณะที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยห้องสาธารณะนี้ได้จัดแบ่งเป็นห้องซักล้าง ทำให้ทุกบ้านในหมู่บ้านลดค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องซักผ้า และมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีห้องของเล่นสำหรับเด็ก ห้องเก็บของรวมเช่น จักรยาน ห้องกีฬา และที่สำคัญคือมีห้องอาหารที่ใช้ทานอาหารร่วมกันสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง โดยผลัดเวรกันหรืออาสามาทำอาหารตามแต่ตกลงกัน ซึ่งประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่เสมอๆ นอกจากนี้บางหมู่บ้านยังมีการจัดทำระบบการผลิตไฟฟ้ารวมจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่บางหมู่บ้านมีระบบเก็บขยะชีวมวลของหมู่บ้านเพื่อขายต่อไปยังโรงงานผลิตพลังงานจากชีวมวล เป็นต้น
แม้แต่บริเวณอพาร์เม้นต์ (ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความสูงเพียง 2 ชั้น) ทุกห้องจะสามารถเข้าถึงสนามเด็กเล่นซึ่งเป็นส่วนกลางของหมู่(บ้าน)อพาร์ทเม้นต์ได้ เด็กๆสามารถมีกิจกรรมกลางแจ้งได้ทุกวันในบริเวณที่พัก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายใดๆ

อนุบาลในฝัน สร้างสรรค์จินตนาการ สานเครือข่ายครอบครัว การจัดระบบการศึกษาในระดับต้นก็เป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ  การจัดการศึกษาขั้นต้นในเดนมาร์กนั้นได้รับการสนับสนุนส่วนใหญ่จากรัฐและมีการเก็บค่าเล่าเรียนบางส่วนจากผู้ปกครองที่มีรายได้เพียงพอในการจ่าย ซึ่งใช้หลักการปฏิบัติเดียวกับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเดนมาร์กเพราะถือว่าการศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐานของคน (และยังเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่เกิดจากเด็กและผู้ปกครองของเด็กที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษาอีกด้วย)  พ่อแม่ชาวเดนมาร์กนิยมส่งลูกไปเข้ารับการศึกษาตั้งแต่อายุได้ ๑ ปี โดยไปอยู่ในสถานที่รับเลี้ยงเด็ก (nursery) ใกล้บ้าน เพื่อให้เด็กสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และเข้าสมาคมกับเพื่อน และเมื่อเด็กอายุครบ ๓ ขวบเต็ม ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม (ไม่ใช่เมื่อโรงเรียนเปิดเทอมในเดือนพฤษภาคม) เขาจะมีสิทธิเข้าโรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน เรียกโดยทั่วไปว่า bornhaven (อ่านว่า บอร์นเฮว) หรือข้าพเจ้าเรียกว่า บอร์นเฮเวน ซึ่งแปลว่าสวรรค์ของเด็กๆ 
ที่โรงเรียนอนุบาล เด็กๆจะมีห้องประจำเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันในบางเวลา และพวกเขามีอิสระที่จะไปเล่นได้ทุกที่ ทุกห้องในโรงเรียนที่ได้รับอนุญาต เด็กจะมาเรียนรู้การช่วยเหลือตนเอง สร้างทักษะการอยู่ร่วมกัน  การช่วยเหลือกัน และสร้างจินตนาการจากของเล่นมากมาย  เราจะพบของเล่นที่ดูเหมือนผาดโผนเพื่อให้เด็กได้ปีนป่ายสูงเกือบ ๓ เมตร (แต่กลับมีความปลอดภัยสูงกว่าของเล่นเตี้ยๆ ในบ้านเราหลายเท่า) รถยนต์ที่ขับโดยใช้เท้าปั่น และเครื่องมือช่างที่ทำมาในขนาดเด็กแต่มีความแข็งแรงเกือบเท่าของจริง กองทรายและของเล่นอื่นๆในสนาม  และเด็กๆจะได้รับอนุญาตให้มอมแมมได้เต็มที่โดยไม่มีใครดุเมื่อถึงเวลาลงสนาม และพวกเขาจะต้องออกเล่นในสนามทุกวันไม่ว่าจะมีหิมะหรือฝนตกก็ตาม (เพื่อฝึกความอดทนและสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย) เป็นต้น
เมื่อเด็กๆอายุ ๕ ปี พวกเขาจะเปลี่ยนไปอยู่ห้องเด็กโตในอนุบาลเดียวกันเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษา เช่น ฝึกรับประทานอาหารให้เร็วขึ้น  แต่งตัวเองในเวลาที่กำหนด ฝึกตอบคำถามและตั้งคำถาม ฝึกฟังเรื่องราวที่ยาวขึ้นและปะติดปะต่อเรื่องแบบข้ามวันได้ เป็นต้น  อย่างไรก็ดีที่ระดับอนุบาลนี้จะไม่มีการเรียนแบบให้ท่องจำแม้กระทั่ง A B C  ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กวัย ๕-๖ ขวบที่เดนมาร์กบางคนยังเขียนชื่อตนเองไม่ถูก หรืออย่างมากก็เขียนชื่อตนเองและอ่านชื่อเพื่อนในห้องได้ด้วยความคุ้นเคยเท่านั้น  และเมื่ออายุ ๖ ขวบเต็ม เด็กจึงจะมีสิทธิที่จะเข้าเรียนในระดับเตรียมประถมศึกษาอีก ๑ ปี ก่อนจะเลื่อนไปอยู่ชั้นประถมศึกษา
ทุกสัปดาห์เด็กๆในห้องเดียวกันจะได้ทำอาหารทานกันเองในหมู่ของพวกเขาแทนการเตรียมมาจากบ้าน และทุกเดือนจะมีการพบปะนั่งคุยอย่างเป็นกันเองระหว่างพ่อแม่และคุณครูในเรื่องต่างๆซึ่งเป็นหัวข้อทั่วๆไป ทำให้เกิดสมาคมของพ่อแม่และคุณครูขึ้น และยังมีการจัดพบปะปู่ย่าปีละหนึ่งครั้งอีกด้วย  นอกจากนี้ในเทศกาลสำคัญๆโรงเรียนก็จะจัดกิจกรรมใหญ่นอกสถานที่ให้พ่อแม่ เด็กๆ และคุณครูได้สนุกสนานร่วมกัน เป็นต้น ผู้ปกครองหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่จำเป็นที่ลูกของพวกเขาจะต้องรีบไปเข้าโรงเรียนชั้นประถมหรอก ความสุข ความพร้อม และจินตนาการเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ามาก
เสื้อผ้าที่เยอะประสบการณ์พร้อมสำหรับลุยทุกสภาวะ กับชิงช้าในสนามเด็กเล่นในโรงเรียนอนุบาลที่แกว่งได้สูงมากๆ


กิจกรรมกลุ่ม : เสริมทักษะ สร้างเพื่อนใหม่ แก้ไขปัญหาสังคม  อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของการจัดกิจกรรมกลุ่ม  ชาวเดนมาร์กแต่ละคนนิยมมีกลุ่มหรือสังกัดสมาคมต่างๆที่ตนสนใจ เช่น ดนตรี กีฬา วาดภาพ ทำอาหาร เต้นรำ ร้องเพลง ฯลฯ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีการทำกิจกรรมในเดนมาร์กนั้นมีมากมายหลายวิธี ทั้งการจัดการจากรัฐ (เทศบาลท้องถิ่น) โดยตรง เช่น การจัดลานสเก็ตน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว หรือการจัดกันเองโดยประชาชนแล้วขอการสนับสนุนบางส่วนจากรัฐ เช่น กิจกรรมกลุ่มพ่อแม่และเด็ก  ในเดนมาร์กเราจะพบสถานที่สำหรับทำกิจกรรมกลุ่มที่เรียกว่า huset (แปลว่า บ้าน) กระจายอยู่ทั่วไป และเราสามารถเข้าไปร่วมกิจกรรมเหล่านั้นได้โดยจ่ายค่าบริการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยในช่วงกลางปีจะมีโฆษณาปฏิทินกิจกรรมส่งมาเชิญชวนทางไปรษณีย์ถึงบ้าน
ในช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่เดนมาร์กพร้อมกับครอบครัวที่ประกอบด้วยข้าพเจ้า สามี และลูกสาววัย ๓ ปี ครั้งนั้นได้มีโอกาสพาลูกสาวไปร่วมกิจกรรมดนตรี-เต้นรำของเด็ก (ชาวเดนมาร์กจะเรียกว่า music) โดยมีผู้นำกิจกรรมและเล่นดนตรีเป็นศิลปินท้องถิ่น ไม่มีค่ายสังกัด เด็กที่เข้าไปร่วมมีอายุระหว่าง ๘ เดือน ถึง ๔ ปี เด็กๆจะรู้สึกสนุกสนานและมีส่วนร่วมทั้งๆที่บางคนยังเล็กมาก แต่ไม่มีใครรำคาญความเป็นเด็กที่เล็กเกินไป และไม่มีใครรังเกียจความแตกต่างในสีผิวและต่างภาษาของเรา หลายครั้งหลายครอบครัวที่พ่อแม่พาลูกมาคนเดียวยังช่วยดูแลแม่ที่พาลูกมาสองคนอีกด้วย  เราได้เห็นความสัมพันธ์ของพ่อ แม่ และลูกผ่านกิจกรรมเหล่านั้นพร้อมทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอด ๔๕ นาทีของทุกสัปดาห์ แม้จะเป็นกิจกรรมที่เกือบจะซ้ำเดิมแต่เด็กๆ ก็รอคอยมัน
ถึงฟังภาษาเดนมาร์กไม่ออก แต่สีหน้าก็บอกว่าชอบกิจกรรมนี้มาก

ในช่วงที่ลูกสาวอายุ ๕ ปี เราก็ได้มีโอกาสกลับไปอยู่เดนมาร์กอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าพเจ้าได้พาลูกสาวไปร่วมกิจกรรมการเต้นฮิบฮอบ กับคุณครูซึ่งเป็นวัยรุ่นอายุเพียง ๑๗ ปี นั่นแสดงให้เห็นถึงการยอมรับความสามารถมากกว่าความอาวุโส  คุณครูจะเปิดสอนถึง ๔ ช่วงชั้น(อายุ) ในช่วงชั้นที่อายุมากที่สุดมีนักเรียนเพียง ๒ คน แต่ก็ยังเปิดสอนเพราะถือว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันที่จะได้รับความรู้นี้  เมื่อเรียนไปได้ครึ่งทางและจบคอร์สก็จะมีกิจกรรมการแสดงของเด็กๆ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่เด็กๆว่าพวกเขาทำได้ (แม้ว่าจะเป็นการทำได้ตามอายุก็ตาม) แต่เด็กๆก็สนุกและเต็มใจในการแสดงนั้น และไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับในการเรียนเพื่อการเอาจริงเอาจังกับการทำให้ได้เช่นเดียวกับการเรียนกิจกรรมเสริมพิเศษในบ้านเรา  แต่จุดมุ่งหมายอยู่ที่เป็นการเสริมทักษะ  การได้มีเพื่อนใหม่และสร้างความบันเทิงมากกว่า
การไปอยู่เดนมาร์กในช่วงปีที่ ๒ ข้าพเจ้ามีลูกชายวัยขวบเศษไปด้วยอีกหนึ่งคน  เราไม่ได้ส่งเขาเข้าเนอสเซอรี เนื่องจากมีความคิดว่าอาจจะเกิดความยุ่งยากในการปรับตัวด้านภาษาของเขา กับภาษาเดนมาร์กซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน กลุ่มอาสาสมัครกิจกรรมชาวเดนมาร์กในพื้นที่(ซึ่งมีชาวต่างชาติแอฟริกันรวมอยู่ด้วย) ได้รับทราบข้อมูลว่าเรามิได้ส่งลูกเข้าเนอสเซอรีมาจากคอมมูน(เทศบาล) จึงมีจดหมายมาแนะนำตัวและมาพูดคุยกับเราที่บ้าน  โดยเล่าถึงจุดประสงค์หนึ่งในการตั้งกลุ่มกิจกรรมนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาสังคมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชาวต่างชาติกับชาวเดนมาร์ก และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีปัญหานี้ในการส่งลูกเข้าเนอสเซอรี  พวกเขาก็ยินดีและเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม โดยไม่จำกัดว่าจะร่วมกับกลุ่มของเขาหรือกลุ่มกิจกรรมอื่นก็ได้ และเขาพร้อมจะอำนวยความสะดวกในการติดต่อกลุ่มอื่นให้หากเราต้องการ  นั่นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความห่วงใย และความไม่โดดเดี่ยวในสังคมนี้จริงๆ
เครือข่ายพ่อ-แม่-ลูกบุญธรรม เมื่อไปสถานที่ท่องเที่ยว เราจะพบเห็นครอบครัวเดนมาร์กที่มีลูกสีผิวต่างไปจากพ่อแม่ เพราะครอบครัวชาวเดนมาร์กที่ไม่มีลูกเองมักจะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม  การไปเดนมาร์กครั้งนั้นข้าพเจ้าได้รู้จักสนิทสนมกับครอบครัวชาวเดนมาร์กครอบครัวหนึ่ง เขารับเลี้ยงเด็กหญิงชาวจีนสองคนไว้เป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่อายุได้ประมาณหนึ่งขวบ เป็นที่น่าสนใจในแนวคิดที่เขาใช้ในการเลี้ยงลูกมากว่า เขาได้ให้ความเอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเป็นอย่างดีราวกับเป็นลูกแท้ๆ ในมาตรฐานครอบครัวชาวเดนมาร์กทั่วไป  พาไปเที่ยว ทำกิจกรรมเสริม จัดวันเกิด ฯลฯ เด็กทั้งสองได้รับการยอมรับจากญาติพี่น้องของพ่อแม่บุญธรรมเหมือนลูกหลานแท้ๆคนหนึ่ง  ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นไปด้วยความอบอุ่น เขาจะบอกกับเด็กทั้งสองเสมอว่า ลูกๆมาจากประทศจีน (และเขาก็จะให้ความรู้เกี่ยวกับประเทศจีน) จงภูมิใจที่เป็นคนจีน เช่นเดียวกับภูมิใจที่ได้เป็นชาวเดนมาร์ก  และทุกปีครอบครัวชาวเดนมาร์กที่รับบุตรบุญธรรมชาวจีนรุ่นเดียวกันนี้ จะมาพบปะสังสรรค์กัน และกลายเป็นสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นอีกแบบหนึ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นและมอบให้กับคนในสังคมเดียวกันแต่ต่างเชื้อชาติต่างผิวพรรณ ระหว่างเด็กๆชาวจีนและครอบครัวชาวเดนมาร์กด้วยกัน
บริการทางการแพทย์โปร่งใส บริการแบบไม่เลือกปฏิบัติ บริการทางการแพทย์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการกล่าวถึงความเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมและมีวิถีที่แตกต่างจากประเทศไทยอย่างมาก สวัสดิการด้านรักษาพยาบาลนั้นครอบคลุมทุกคนที่เป็นพลเมืองของเดนมาร์ก รวมถึงชาวต่างชาติที่ถือบัตรเทียบเท่าพลเมือง หรือ resident permit ด้วย  
ในการรักษาพยาบาลระดับต้นจะใช้วิธีแพทย์ประจำหรือ family doctor ในการดูแลและส่งต่อ  ส่วนการรักษาขั้นกลางถึงขึ้นสูง เช่น กรณีคลอดบุตร ผ่าตัด เอกซเรย์ จะเกิดขึ้นที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นหน้าที่ของแพทย์และบุคคลากรเฉพาะทาง อย่างไรก็ดีในการักษาพยาบาลทั้งสาทระดับนั้นจะไม่ต่างกัน ในแง่ของการให้เวลาและความกระจ่างแก่คนไข้ 
ประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้พบกับตนเองคือการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ไปจนถึงเข้ารับการผ่าตัดคลอดบุตร  เนื่องจากการตั้งครรภ์ครั้งนี้ได้นำมาซึ่งประสบการณ์ที่ไม่อาจลืม เริ่มตั้งแต่การตรวจพบการตั้งครรภ์พร้อมกับมีเลือดออกเนื่องจากเป็นเนื้องอกระยะเริ่มต้น  ปัญหาเรื่องเม็ดเลือดแดงมีปริมาณต่ำเกินไปในระหว่างการตั้งครรภ์ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทารกได้  การตกเลือดในสัปดาห์ที่ ๓๔ ระหว่างเดินเล่นที่สนามจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบฉุกเฉิน  การเข้าผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด  และภาวะตัวเหลืองของลูก  
ครั้งนั้นทั้งหมอประจำครอบครัว หมอเฉพาะทาง และพยาบาลได้ดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ราวกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งทีเดียว  พวกเขาได้ให้เวลาในการตรวจสอบอย่างละเอียดจนพบสาเหตุของปรากฏการณ์แต่ละครั้ง  อธิบายถึงแนวทางการปฏิบัติในระหว่างการตั้งครรภ์  บอกถึงข้อดีข้อเสียของการคลอดโดยธรรมชาติและการผ่าตัดคลอด  แม้ข้าพเจ้าจะมีจดหมายจากคุณหมอที่เมืองไทยว่าไม่สามารถคลอดเองได้ คุณหมอที่เดนมาร์กก็ยังพยายามให้ความหวังว่าเราอาจจะสามารถทำได้ จนตรวจพบแน่ชัดว่าไม่สามารถนั่นแหละจึงยอมจำนน
ในช่วงสัปดาห์ใกล้คลอด คุณหมอที่เดนมาร์กจะนัดตรวจครั้งสุดท้าย และได้มีการอธิบายรายละเอียดขั้นตอนต่างๆที่จะเกิดแก่ผู้เข้ารับบริการ เป็นต้นว่า หากคลอดโดยธรรมชาติจะเป็นอย่างไร  หากต้องผ่าตัดอาจพบปัญหาอะไรบ้าง  ยาที่ใช้มีอะไรบ้าง จะเกิดผลข้างเคียงอย่างไร มีทางเลือกอย่างอื่นหรือไม่  ใครสามารถเข้ามาในห้องผ่าตัดได้บ้าง เมื่อลูกคลอดออกมาแล้วแม่และเด็กจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับการดูแลอย่างไร ฯลฯ และให้ผู้ใช้บริการซักถามจนเข้าใจอย่างดี รวมถึงพาดูสถานที่ด้วย กรณีชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาเดนมาร์กทางโรงพยาบาลจะหาล่ามให้ด้วย ซึ่งความชัดเจนดังกล่าวถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้รับบริการซึ่งทำให้ผู้รับบริการคลายความกังวนในระดับหนึ่ง  และถือเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่ต้องให้ความกระจ่าง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่บริการทางการแพทย์ของเดนมาร์กไม่สนใจคือ ระบบหมอประจำ (ในกรณีของการเข้ารักษาในโรงพยาบาล) เพราะถือว่าแพทย์ทุกคนมีความสามารถเท่าเทียมกันและเป็นหน้าที่ที่แพทย์ทุกคนต้องให้บริการแบบไม่เลือกบริการ ซึ่งเป็นคำตอบที่ได้รับเมื่อข้าพเจ้ามีคำถามไปว่าคุณหมอจะเป็นผู้ทำคลอดให้ข้าพเจ้าใช่ไหม ?  และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมในองค์กร
                เด็ก คนชรา คนพิการ บุคคลพิเศษในสังคม  นอกจากเรื่องการรักษาพยาบาลแล้ว ขอเล่าไปถึงเรื่องเด็ก คนพิการและคนชราในเดนมาร์ก บุคคล ๓ ประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการดูแลอย่างดีมาก  ในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งจัดรถเข็นนั่งคนชราและรถเข็นเด็กไว้บริการฟรี และยังลดราคาค่าเข้าชมสถานที่ด้วย ครอบครัวที่มีเด็กจะได้รับเงินพิเศษจากรัฐประมาณเดือนละ ๗,๐๐๐ บาทต่อเด็ก ๑ คน พ่อแม่ก็จะได้สิทธิในการลาเลี้ยงดูบุตรได้คนละ ๑ ปี หรือเลือกสิทธิได้ในเงื่อนไขที่กำหนด โดยไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กที่เป็นเชื้อชาติหรือสัญชาติเดนมาร์กหรือไม่ก็ตาม
                ชาวเดนมาร์กจะละเอียดอ่อนมากกับความรู้สึกถึงความเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เทียบเท่าคนทั่วไปของคนพิการ เขาจะพยายามจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้คนพิการเพื่อทำให้เขาช่วยเหลือตนเองได้เสมือนเป็นสมาชิกปกติทั่วไปในสังคม เช่นรถมอเตอร์บังคับมือสำหรับคนที่ไม่สามารถเดินได้  รถมอเตอร์บังคับด้วยปากสำหรับคนที่ไม่สามารถเดินและใช้มือได้  การออกแบบรถโดยสารประจำทางที่เอนลงได้เมื่อจอดช่วยให้เด็ก คนชรา และแม่ที่ใช้รถเข็นเด็กขึ้นลงได้สะดวก  และยังสามารถปรับบันไดให้เป็นทางลาดสำหรับคนพิการรถนั่งเพื่อให้เดินทางคนเดียวได้ด้วย
                ครั้งหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถโดยสารสายหนึ่งในเมืองอัลบอร์ก (Aalborg) มีคนชรานั่งคอยอยู่ที่ป้ายรถแต่คนขับจอดเลยป้ายไปนิดหน่อย คนขับไม่ได้ถอยรถกลับไปรับ แต่ลงไปจูงผู้โดยสารนั้นขึ้นมาส่งถึงที่นั่งอย่างปลอดภัยแล้วจึงออกเดินทางต่อ
                พลังชุมชนเจ้าของพลังงานของประเทศ อีกตัวอย่างหนึ่งของสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมในรูปองค์กรที่ไม่เป็นทางการ เป็นเรื่องของการจัดตั้งระบบการบริหารกิจการไฟฟ้าขนาดย่อม
โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ของเดนมาร์กเป็นโรงไฟฟ้าขนาดย่อมที่ใช้พลังงานลมและพลังงานจากชีวมวล เนื่องจากการที่เดนมาร์กมีความพร้อมของทรัพยากรลมและเป็นประเทศเกษตรกรรม โรงไฟฟ้าขนาดย่อมเหล่านี้มีผู้บริโภคเป็นผู้ถือหุ้น และบริหารโดยกรรมการที่เลือกขึ้นมาจากพวกเขาเอง และเนื่องจากโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ในหมู่บ้านซึ่งใกล้กับที่อยู่อาศัย ดังนั้นเขาจะเลือกใช้เทคโนโลยีที่ง่ายในการดูแลและต้องเป็นเทคโนโลยีที่สะอาดและไม่สร้างปัญหาให้กับชุมชน (ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ตรงข้ามกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง)  ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดย่อมเหล่านี้คิดเป็นร้อยละ ๖๐ ของกำลังการผลิตทั้งหมดในประเทศเดนมาร์ก และมีประชาชนชาวเดนมาร์กเป็นผู้ถือหุ้นถึงร้อยละ ๘๐ ของประชากร

น้ำ : สิทธิมนุษยชน  การพัฒนาด้านเกษตรอินทรีย์  และการรักษาทรัพยากรน้ำ
ในเดนมาร์ก เมื่อคุณเดินเข้าไปรับประทานอาหารในร้าน คุณสามารถขอน้ำเปล่าได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะสำหรับประเทศเดนมาร์กแล้ว น้ำได้รับการตีความว่าเป็นของที่จำเป็นสำหรับชีวิตและถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรจะได้รับ
เมื่อเป็นดังนั้น รัฐบาลเดนมาร์กจึงต้องจัดหาน้ำที่มีทั้งคุณภาพและปริมาณเพียงพอกับความต้องการแก่ประชาชน  แต่เนื่องจากประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศเล็กๆที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล ทำให้ปริมาณน้ำผิวดินไม่เพียงพอกับความต้องการ  ดังนั้น น้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจึงมาจากน้ำใต้ดิน
ในอดีตน้ำใต้ดินของเดนมาร์กมีปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีการเกษตรและน้ำใช้จากครัวเรือนทั้งจากการซึมลงใต้ดินโดยตรง และการไหลสู่แม่น้ำและซึมสู่ระบบน้ำใต้ดินอีกต่อหนึ่ง รัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนจึงได้ร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว  เริ่มจากการลดเลิกใช้สารเคมีการเกษตรจนเป็นที่มาของการทำเกษตรอินทรีย์และการขายสินค้าอินทรีย์ซึ่งขยายตัวอย่างมากในเดนมาร์ก  พร้อมกับการวางระเบียบการปลูกสร้างบ้านโดยต้องไม่สร้างในแนวทางน้ำที่จะซึมลงสู่น้ำใต้ดิน  เป็นต้น
เราคงนึกไม่ถึงใช่ไหมว่า  แค่การคำนึงถึงความเท่าเทียมในการมีน้ำกินน้ำใช้ที่มีคุณภาพดีและเพียงพอ จะเป็นที่มาของการแก้ปัญหาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับน้ำอีกมากมาย เช่น น้ำสะอาดมีไม่เพียงพอจนต้องมีการผันน้ำ น้ำเน่า ฯลฯ  และยังสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมที่มากไปกว่าการรักษาทรัพยากรน้ำได้อีกด้วย เช่น เรื่องสารพิษตกค้างในดิน ในอาหารและในสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นต้น และนี่ก็เป็นผลพวงอันดีของความคิดแบบสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมอีกอันหนึ่ง
นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ความเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมยังมีให้พบเห็นในการปฏิบัติระหว่างกัน เช่น ในการเล่นกีฬา ผู้ชนะจะต้องเป็นผู้ออกจากเกมการแข่งขัน เพื่อให้ผู้อื่นที่เล่นเก่งน้อยกว่าได้มีโอกาสเล่นเพิ่มขึ้น,   การจัดการสอบในระดับมหาวิทยาลัยซึ่งใช้วิธีเก็บคะแนนจากการทำรายงานกลุ่มบวกกับการสอบวัดผลความเข้าใจในเนื้อหาวิชาการทั้งในระดับกลุ่มและรายบุคคล(สอบปากเปล่า)  เพื่อให้มีการคิดวิเคราะห์อย่างลึกและประยุกต์ใช้ในสิ่งที่เรียนมา ขณะเดียวกันก็สร้างความสามัคคีในการทำงานและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในเรื่องของความรู้ความเข้าใจ ซึ่งเป็นการยกระดับความรู้ความเข้าใจในรายบุคคลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มากไปกว่านั้นในเรื่องการออกแบบอุปกรณ์การทำงานเพื่อให้ร่างกายไม่สูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน เช่น โต๊ะทำงานที่สามารถปรับระดับให้นั่งและยืนทำงานได้ในบางช่วงเวลา  การให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ประชาชนในเรื่องงานที่ทำอยู่ (เช่น ทำอย่างไรให้พนักงานไม่มีปัญหาเรื่องโรคจากการทำงาน) และการทำเครื่องนับเหรียญสำหรับคนขับรถโดยสาร ซึ่งสามตัวอย่างนี้เป็นการทำงานที่คิดถึงผู้อื่นมากกว่าแค่การจ่ายเงินเดือน  หรือในกรณีของการเลือกตั้ง กฎหมายเดนมาร์กได้ให้สิทธิแก่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่สัญชาติเดนมาร์กแต่อาศัยอยู่ในประเทศเดนมาร์กอย่างน้อย ๓ ปีในการเลือกตั้งเพราะถือว่าผลการเลือกตั้งย่อมกระทบแก่เขาทั้งทางบวกและทางลบ  เป็นต้น
จะเห็นว่าการยึดถือหรือการเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมของชาวเดนมาร์กนั้นได้นำมาซึ่งความสุขหรือความพึงพอใจในชีวิตไม่น้อยไปกว่าการจัดสวัสดิการสังคมโดยรัฐเลย จะเห็นว่าความสุขของชาวเดนมาร์กที่มหาวิทยาลัยเลสเตอร์และสหประชาชาติจัดให้ในอันดับหนึ่งของโลกนั้น มิได้มาจากการมีสุขภาพดีที่มาจากความพอใจในชีวิตต่อการมีสวัสดิการที่ครอบคลุมแค่ด้านสุขภาพ และการศึกษา ที่รัฐจัดให้แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มีองค์ประกอบในทางสังคมด้านอื่นๆที่สร้างความสุข ความมั่นคง และความปลอดภัยที่แทรกอยู่ในวัฒนธรรม แนวความคิดและวิถีชีวิตคนเดนมาร์กอย่างละเอียดอ่อนและกลมกลืนด้วยหรือเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมโดยแท้

บทพิสูจน์สังคมแห่งความสุข เมื่อกระแสทุนนิยมมาเคาะประตูบ้าน
ปัจจุบันแม้ว่าสวัสดิการสังคมโดยรัฐจะยังดำเนินอยู่ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป แนวคิดของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปตามกระแสทุนนิยมและโลกาภิวัตน์ที่ครอบคลุมและเข้าถึงทุกที่แบบไร้ขอบเขตบนโลกใบนี้มากขึ้น   กระแสทุนนิยมแบบเสรีได้สร้างความมั่งคั่งให้กับบุคคลบางคนจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้ในสังคมไทย และแม้ว่าชาวเดนมาร์กเต็มใจยอมจ่ายภาษีในอัตราสูงมากเพื่อสวัสดิการสังคมที่คุ้มครองตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะยังฝังใจกับช่วงเวลายากลำบากก่อนมีระบบประกันสังคม แต่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นเคยกับความกลัวเรื่องความไม่มั่นคงในชีวิตและเริ่มมีความรู้สึกทางลบในการดำรงไว้ซึ่งรัฐสวัสดิการในเดนมาร์ก
ระบบสหกรณ์บางประเภทก็เผชิญกับคำถามในลักษณะเดียวกัน  ดังเช่นสหกรณ์ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดย่อมซึ่งขายไฟฟ้าและความร้อนให้กับผู้บริโภคในชุมชนที่ผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก หรือกล่าวได้ว่าเป็นสหกรณ์ของผู้ใช้  ซึ่งสหกรณ์นี้เข้าข่ายธุรกิจแบบผูกขาด (แต่ชาวเดนมาร์กเองก็เต็มใจ)  สหกรณ์ลักษณะนี้จะต้องเผชิญกับภาวะกดดันจากรัฐบาลซึ่งมีแนวคิดแบบเสรีนิยมในประเทศเองซึ่งถูกกดดันมาอีกทอดหนึ่งจากการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนในสหภาพยุโรป เพื่อให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่และกลุ่มทุนข้ามชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้  หากต้องมีการเปิดเสรีอย่างจริงจัง  คุณลองคิดดูซิว่าความสุขของชาวเดนมาร์กถึงร้อยละ ๘๐ ของประเทศที่มีส่วนเป็นเจ้าของธุรกิจสหกรณ์โรงไฟฟ้าขนาดย่อมนี้จะคงอยู่ต่อไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ภาวะกดดันดังกล่าวก็ได้นำมาซึ่งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเช่นกัน การเปิดเสรีฯได้กระตุ้นให้ภาคประชาชนซึ่งมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและนักวิชาการต่างๆ หันมาวิจัยและทดลองทั้งด้านบริหารจัดการและด้านเทคนิคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต  สหกรณ์ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดย่อมเหล่านี้จะต้านทานกระแสทุนนิยมแบบเสรีได้อีกนานขนาดไหน และจะปรับตัวไปในรูปแบบใด จะกระทบกับความสุขของชาวเดนมาร์กหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับองค์ประกอบทางสังคมอื่นๆที่สอดแทรกอยู่ในวัฒนธรรมซึ่งเติมเต็มความสุขในชีวิตก็ถูกท้าทายเช่นกัน   ชาวเดนมาร์กหลายคนเริ่มมีความคิดที่เปลี่ยนไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ หลายคนเร่งส่งลูกเข้าโรงเรียนชั้นประถมเร็วขึ้น ๑-๒ ปี ตามกระแสชาวเอเชีย  หลายคนเริ่มไม่เห็นด้วยกับการให้สวัสดิการสังคมแก่ชาวต่างชาติเทียบเท่าชาวเดนมาร์ก เพราะคิดว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขาลงทุนจ่ายไป โดยไม่ได้คิดถึงปัญหาสังคมที่จะตามมา  หลายคนปลุกระดมความคิดเรื่องเหยียดผิว และแสดงออกถึงความไม่ยินดีในการให้และขายบริการแก่ชาวต่างชาติ (ต่างสีผิว) เป็นต้น
เมื่อความสุขความพอใจในชีวิตของชาวเดนมาร์กทั้งจากสวัสดิการโดยรัฐ จากองค์กรที่พวกเขาสร้าง และจากความเป็นสังคมนิยมโดยวัฒนธรรมกำลังถูกท้าทายทั้งจากภายนอกและจากความคิดของพวกเขาเอง   ชาวเดนมาร์กจะหวั่นไหวหรือไม่  และจะหาทางออกอย่างไร  ประเทศเดนมาร์กจะคงความเป็นประเทศที่ประชาชนมีความสุขที่สุดในโลกได้หรือไม่  เป็นเรื่องที่ควรจับตาดูกันต่อไป




[๑] UN เรียกการศึกษานี้ว่า World Happiness โดยมีมาตรวัดสำคัญ ๖ ประการคือ รายได้ประชาชาติต่อหัว , อายุขัยหรือจำนวนปีที่คาดหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขภาพดี , การมีบุคคลที่สามารถพึ่งพิงกันได้ , การมีอิสระในการเลือกวิถีดำเนินชีวิต , ชีวิตที่ดำเนินไปปราศจากภาวะการทุจริตฉ้อโกง และความเอื้ออารีต่อกันของประชากรภายในประเทศ
[๒]บางครั้งถูกเรียกว่า Nordic model หรือ Social Democratic model หรือ Institutional model
[๓] หลักสำคัญของระบบสหกรณ์ในเดนมาร์ก ๖ ประการคือ ๑)การเป็นสมาชิกเป็นไปโดยเปิดกว้างและสมัครใจ ๒)ใช้หลักประชาธิปไตยในการออกเสียงคือ ๑ คน ๑ เสียง  ๓)มีการจำกัดการถือหุ้น ๔)มีการแบ่งปันกำไรส่วนเกิน (surplus) อย่างเท่าเทียมโดยตั้งอยู่บนฐานของการทำธุรกิจร่วมกับสหกรณ์ ๕)ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจะต้องจัดสรรไว้เพื่อการศึกษา ๖)สหกรณ์ต้องประสานระหว่างสหกรณ์ด้วยกัน




[I]Ardrian White, ๒๐๐๖. The World Map of  Happiness. The University of Leicester. (http://www.le.ac.uk/pc/aw๕๗/world/sample.html  ค้นข้อมูลวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔9)
[II] หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  จุดประกาย หน้า ๓ ฉบับวันที่ ๑๒ กันยายน  ๒๕๕๖
[III]จงจิต อรรถยุกติ (บรรณาธิการ), ๒๕๔๕ ต่างโลกกว้าง สแกนดิเนเวีย เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์  บริษัทสำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง จำกัด, กรุงเทพฯ.
[IV]Lorenz Rerup and Niels Finn Christiansen, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์. Denmark-History-The Developing Welfare State. Udenrigsministeriet –Royal Danish Ministry of Foreign Affairs (http://www.um.dk/publikationer/um/English/Denmark/kap/-๑๗.asp ค้นข้อมูลวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๙).
[V] Niel Ploug ,Gyldendal Leksikon,ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์. Scandinavian Welfare Model. (http://www.denmark.dk/portal/page?_pageid=๓๗๔,๕๑๘๘๔๐&_dad_schema=PORTAL&p_pageurl=http%๓. ค้นข้อมูลวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๙).
[VI] Gunnar Lind Haase Svendsen and Gert Tinggaard Svendsen, ๒๐๐๔. The Creation and Destruction of Social Capital : Entrepreneurship, Co-operative Movements and Institutions. Edward Elgar Publishing Limited, UK.