บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ระวังเมทิลโบรไมด์เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว


                                      รุ่งทิพย์  สุขกำเนิด
              
               ฉันไม่เคยสงสัยในข้าวทุกเมล็ดที่กินมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งได้เคยมาเป็นผู้ค้าสารเคมีเกษตร จึงรู้ว่าในการปลูกข้าวทั่วไปมีการใช้สารเคมีกันมากตั้งแต่ การคลุกเมล็ด การใช้ปุ๋ยเคมีหลายรอบตั้งแต่ปลูก แต่งหน้า ยันช่วงข้าวตั้งท้อง สารเคมีเพื่อคุมการงอกของเมล็ดวัชพืชและสารกำจัดวัชพืช ทั้งสัมผัสตายและดูดซึม สารกำจัดโรค แมลง ปูนา หนูนา เพลี้ย หอยเชอรี่ ฮอร์โมนเพื่อการติดดอกติดเมล็ดและอื่นๆ  จำได้ไม่หมดเพราะได้ห่างเหินจากวงการค้านี้มาพอสมควร  แต่ก็ต้องมาตกใจอีกครั้งกับความรู้ใหม่หลังจากเริ่มช่วยชาวบ้านขายข้าวอินทรีย์วิถีชุมชนอันเนื่องมาจากหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องในฐานะนักวิจัยที่ต้องการหาตลาดให้กับชุมชน  และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพแบบเสียสมดุลจนถึงขั้นแทบเดินไม่ได้
                ความสงสัยมีมากขึ้นเรื่อยๆจากข้อสังเกตที่ว่า ทำไมนะข้าวอินทรีย์ที่เราขายอยู่ ถึงเป็นที่หมายปองของมดมากนัก ใส่กระสอบที่มีถุงพลาสติกหุ้มอีกชั้นหนึ่ง หรือใส่ถุงพลาสติก 2 ชั้น แถมซ่อนในลังพลาสติกก็ยังเอาไม่อยู่ วันไหนมีข้าวสารมาส่ง  คุณมดจะจัดกองทัพมาปาร์ตี้กันเต็มไปหมด แถมยังขนกลับรังโดยไม่ถามเจ้าของซ๊ากคำ  อีกทั้งข้าวนี้ยังเก็บได้ไม่นานก็เป็นมอด ขนาดขัดสีมาใหม่ๆ ก็อยู่ได้แค่ 2-3 เดือนเท่านั้นในภาวะเก็บแบบปกติ ซึ่งต่างจากข้าวที่ขายทั่วไปในท้องตลาด ที่คนขายเปิดกระสอบเรียงให้เต็มไปหมด มดก็ไม่มี มอดก็ไม่ขึ้น คุณว่าแปลกไหมหล่ะ!!??
              
http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=1334&Itemid=176

          แต่ตอนนี้ความสงสัยได้จากไปแล้วค่ะ เหลือแต่ความกลัวที่เข้ามาแทนที่ทันทีที่ความรู้เริ่มกระจ่าง เกษตรกรหลายคนเล่าว่า ถ้าไปที่ยุ้งฉางของโรงสีขนาดเล็กบางแห่ง พอเปิดประตูก็จะมีมอดบินกัน อันนี้แปลว่าไม่ได้ใช้สารเคมีในการเก็บแน่นอน  ที่เป็นเช่นนั้น เพราะมอดจะชอบกินข้าวมากโดยเฉพาะข้าวที่ปลูกแบบใช้สารเคมี ดูเหมือนว่าจะเจาะเปลือกได้ง่ายกว่า จากคำบอกเล่าของเกษตรกรผู้มีประสบการณ์บอกเราว่า โรงเก็บข้าวที่ปลูกแบบใช้สารเคมีจะมีปัญหาเรื่องของมอดมากกว่ายุ้งของเกษตรกรที่ปลูกแบบไม่ได้ใช้สารเคมี
                นอกจากมอดแล้ว หนูและมดก็เป็นอีกปัญหาที่หนักหน่วงไม่แพ้กันที่โรงสีทั้งหลายและยุ้งของเกษตรกรต้องเผชิญ  ดังนั้น เพื่อขจัดปัญหาให้สิ้นซาก บรรดาโรงสีและยุ้งเก็บข้าวขนาดใหญ่จึงใช้วิธีที่ง่ายๆ แบบรวดเดียวอยู่หมัดด้วยการรมสารเคมี ซึ่งตัวที่นิยมใช้คือ เมทิลโบรไมด์” (Methyl bromide) นั่นเอง
                เมทิลโบรไมด์ มีชื่อเรียกอื่นว่า โบรโมมีเทน หรือดาวฟูม หรือเฮลอน 1001 เป็นสารเคมีที่ใช้ในภาคการเกษตร ใช้สำหรับป้องกันและกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ โดยใช้รมควันในดิน พืชไร่( เช่น ข้าวข้าวโพด ถั่วต่างๆ และมันสำปะหลังอัดเม็ด) ปลาป่น เครื่องยาจีนสุมนไพร เฟอร์นิเจอร์ไม้/หวาย  รมในโรงเก็บ และเรือ นอกจากนี้ยังใช้เป็นสารกำจัดไรและกำจัดวัชพืชด้วย หากพูดถึงวัตถุประสงค์แล้ว เมทิลโบรไมด์ถูกนำมาใช้เพื่อเก็บรักษาผลผลิตการเกษตร  งานกักกันพืชที่นำเข้า และการรมกำจัดศัตรูพืชก่อนการส่งออก เป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในตู้ส่งผลไม้สดเพื่อการส่งออกของหลายประเทศ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล พริกหวาน ลูกพลัม ก็มีการใช้เมทิลโบรไมด์เพื่อควบคุมแมลงด้วย

               อย่างไรก็ดี ปัญหาของเมทริลโบรไมด์กลับไม่ค่อยได้ถูกพูดถึงในแง่ของสารตกค้างถึงผู้บริโภคทั้งในกรณีของสินค้านำเข้าและสินค้าส่งออก   ในกรณีสินค้าส่งออกจากประเทศไทยนั้นคงจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก เนื่องจากในต่างประเทศมีการกำหนดหรือควบคุมกระบวนการใช้ โดยมีการกำหนดให้ต้องส่งออกสินค้าที่รมสารนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานหรือเกณฑ์ในการตรวจสอบสารพิษตกค้างในอาหาร (MLRs)[1] ในปริมาณที่ปลอดภัยไว้แล้ว   แต่สำหรับสินค้านำเข้าหรือสินค้าที่ขายในประเทศไทยแล้ว โดยเฉพาะในข้าวสารที่เราๆท่านๆทานกันทุกวี่วัน กลับไม่มีการกำหนดค่าสารตกค้างจากเมทริลโบรไมด์ไว้
           ตัวอย่างค่ามาตรฐานสารตกค้างเมทริลโบรไมด์ในสินค้าข้าวของประเทศต่างๆ
ประเทศ
MLR(ppm)
ไต้หวัน
1.0
สาธารณรัฐเกาหลี
50.0
กลุ่มสหภาพยุโรป
0.1
อังกฤษ
0.1
ออสเตรเลีย
50 มิลิกรัม/กก.
นิวซีแลนด์
50   มิลิกรัม/กก.
ไทย
ไม่พบค่ากำหนดทั้งในประกาศกระทรวงสาธารณสุข
(ฉบับที่ 163) พ.ศ.2538  เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง และประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2548 และมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สารพิษตกค้าง:ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (มกอช.9002-2547 และ 2551)
     
ที่มา : 1.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร  http://www.thailandmb.com/list_faq.php
2.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 163) พ.ศ.2538  เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง http://www.bayercropscience.co.th/foodsafety/download_foodsafety/MRL_2006/MRL2538.pdf
3.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2548 มาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สารพิษตกค้าง:ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (มกอช.9002-2547 และ 2551) http://www.bayercropscience.co.th/foodsafety/download_foodsafety/MRL_2006/MRL2548.pdf และ http://www.acfs.go.th/searchMRL.php


จะว่าไปแล้ว สำหรับกรณีของเมทริลโบรไมด์ซึ่งมีการใช้ในโกดังเก็บธัญพืชกันมาก โดยเฉพาะข้าวที่เราบริโภคเป็นประจำทุกวัน และหากไม่ได้มีการควบคุมและตรวจสอบกระบวนการใช้สารอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมมีผลตกค้างมาถึงผู้บริโภคอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นขั้นตอนการใช้สารเคมีที่เข้าใกล้การบริโภคมากๆ  ซึ่งต่างจากสารกำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในระยะการเติบโตถึงเก็บเกี่ยว ก่อนทำการสีเอาเปลือกออก
ผลตกค้างถึงผู้บริโภคจะมีมากน้อยแค่ไหน ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน  แต่สำหรับในเอกสารของผู้ค้าสารนี้ได้มีการระบุถึงพิษภัยของสารเมทริลโบรไมด์ว่าเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างร้ายแรง(ดูตาราง) ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะกับผู้ที่ทำหน้าที่รมสารและผู้ที่ทำงานในโรงเก็บผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้สารดังกล่าว ตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่กำจัดสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุและการกำจัดตัวบรรจุภัณฑ์ของสารนี้

นอกจากนี้  เมทริลโบรไมด์ยังเป็นสารตัวสำคัญที่ทำลายชั้นโอโซน ดังนั้นในพิธีสารมอนทรีออลจึงได้กำหนดให้ประเทศไทยต้องมีการควบคุมการใช้ตั้งแต่ปี 2545 และต้องลดการใช้สารตัวนี้ตั้งแต่ปี 2548 ยกเลิกการนำเข้าในปี 2556 และยกเลิกการใช้ในปี 2558   อย่างไรก็ดี ข้อกำหนดดังกล่าวไม่รวมการใช้สารนี้ในงานด้านการกักกันพืช และการรมกำจัดศัตรูพืชก่อนส่งออก



[1]ค่ามาตรฐานที่ถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบสารพิษตกค้างในอาหารหรือผลผลิตทางการเกษตร หรือ Maximum Residue Limits-MLRs หรือค่ากำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด ซึ่งค่ากำหนดนี้จะมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ โดยมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ให้นิยาม “สารพิษตกค้าง” (pesticide residue) หมายถึง การตกค้างใดในสินค้าที่เกิดจากการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร และให้หมายความรวมถึงกลุ่มอนุพันธ์ของวัตถุอันตรายทางการเกษตร ได้แก่ สารที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลง (conversion) กระบวนการสร้างและสลาย (metabolites) เกิดจากการทําปฏิกิริยา(reaction) หรือสิ่งปลอมปนในวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่มีความเป็นพิษ


รู้จักเมทิลโบรไมด์(บางส่วน)
ลักษณะ/ความเป็นอันตราย
หมายเหตุ
·         ลักษณะทั่วไป
มีลักษณะเป็นก๊าซพิษที่ไม่มีสีและกลิ่น
·         อันตรายทางสุขภาพ
มีความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน(ทางปากและการสูดดม) และมีฤทธิ์กัดกร่อนและระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำลายดวงตาอย่างรุนแรง มีความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ มีความเป็นพิษต่อระบบประสาท ทางเดินหายใจ ไตและต่อมหมวกไต เมื่อได้รับสัมผัสเพียงครั้งเดียว และมีพิษต่อระบบประสาท หัวใจและลูกอัณฑะเมื่อได้รับสัมผัสซ้ำ
·         อันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
มีความเป็นพิษอย่างเฉียบพลันและเรื้อรังต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ
อ้างอิงจากGHS ฐานข้อมูลญี่ปุ่น
เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศโอโซน อาจมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนได้
เป็นกาซไวไฟอย่างยิ่ง ไอระเหยอาจเคลื่อนไปในระยะทางที่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดประกายไฟและย้อนกลับมาติดไฟได้
บริษัท Sigma -Aldrich
ผลิตภัณฑ์

·         ทางกฎหมาย
กฎหมาย CLP ระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ก่อการกลายพันธุ์ และเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์
เป็นสารที่ระบุใน Annex VI
·         บรรจุภัณฑ์
ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ ท่อ ถังแก๊สเปล่าจะมีสิ่งตกค้างที่เป็นอันตราย ให้ปฏิบัติตามวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม

ที่มา เอกสารข้อมูลความปลอดภัยบริษัท Sigma -Aldrich http://www.chemtrack.org/MSDSSG/Trf/msdst/msdst74-83-9.html

หลังจากข้อกำหนดการยกเลิกการใช้สารเมทริลโบรไมด์ในพิธีสารฯออกมา ก็มีข้อแนะนำจากภาครัฐที่รับผิดชอบโดยตรงให้ใช้สารรมควันตัวอื่นทดแทน เช่น ฟอสฟีน ไฮโดรเจนไซยาไนต์  โปรฟูม วาพอลเมท  และ EDN เป็นต้น แต่สารเหล่านี้ก็มีอันตรายไม่แพ้กัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ความรู้ของมนุษย์เรายังไปไม่ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด
 สำหรับกรณีสารเคมีตกค้างประเภทอื่นๆ  ประเทศไทยเราก็มีการกำหนดมาตรฐานสารตกค้างไว้เช่นกัน แต่เป็นคนละมาตรฐานกับของสหภาพยุโรป โดยในเอกสารของฝ่ายข้อมูลเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  ได้ระบุไว้ว่าสหภาพยุโรปจะกำหนดค่า MRLs ส่วนใหญ่ไว้ค่อนข้างต่ำ เพราะยึดหลักว่าต้องปลอดภัยกับผู้บริโภคและจะต้องเป็นระดับที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  ขณะที่ค่า MLRs ของประเทศไทยและของโคเด็กซ์ กลับมาจากมุมมองของเรื่องการค้าเป็นหลัก จึงกำหนดออกมาเป็นค่าสูงที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้ และที่มากไปกว่านั้น ในกรณีของสหภาพยุโรปซึ่งนอกจากจะได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานสารตกค้างในข้าวสารที่ต่ำกว่าไทยแล้ว ยังมีการกำหนดมาตรฐานสารเคมีตกค้างถึง 452 ชนิด อีกทั้งสารพิษชนิดใดไม่ได้กําหนด MRLs ไว้   ก็ให้ใช้ค่า 0.01 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นมาตรฐาน ขณะที่ไทยมีการกำหนดไว้เพียง  10 ชนิดเท่านั้น (ดูตาราง)
คำถามที่ค้างคาใจก็คือว่า ชีวิตคนไทยมีความทนทานกว่าชาวยุโรปอย่างนั้นหรือ  หรือว่าชีวิตคนไทยด้อยค่ากว่าชาวยุโรปกันแน่?   และการที่สหภาพยุโรปได้ระบุค่ามาตรฐานของสารพิษตกค้างไว้ต่ำ  ก็แสดงว่าถ้าสารตกค้างสูงกว่ามาตรฐาน ย่อมต้องเกิดอันตรายกับร่างกายอย่างแน่นอน  ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ตั้งค่าไว้ต่ำๆให้เสียประโยชน์ทางการค้า   
อันที่จริงในชีวิตคนเราก็ยังต้องเผชิญกับสารเคมีไม่รู้กี่มากน้อยในแต่ละวัน  แถมบางคนยังมีค่าความทนทานต่อสารบางตัวที่ต่ำกว่าคนอื่นๆอีก จะไม่ยิ่งเสี่ยงกันไปใหญ่หรือ ถ้ามีการค่ามาตรฐานสารพิษตกค้างไว้สูงๆ   ทำไมรัฐบาลไทยถึงได้ยื่นสารพิษสู่ประชาชน  โดยคิดถึงแต่ประโยชน์ทางการเงินหรือตัวเลขสวยหรูทางเศรษฐกิจเป็นหลัก  แต่อย่าลืมนะว่า ถึงเศรษฐกิจดี แต่คนในประเทศขี้โรค ก็เหมือนกับเงินเข้ากระเป๋าขวาแล้วออกกระเป๋าซ้าย  ซึ่งก็เป็นภาระที่กระทรวงสาธารณสุขต้องแบกรับไว้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเงินที่เข้ากระเป๋าขวานั้นก็เป็นกระเป๋าของเอกชนเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีก็แต่ภาษีที่แบ่งเข้ามาให้รัฐบาลบ้างก็เท่านั้น   ขณะที่เงินจากกระเป๋าซ้ายมาจากรัฐบาลและประชาชนของประเทศชาตินี้

ถึงตรงนี้ จึงอยากเชิญชวนพร้อมกับเรียกร้องถึงความปลอดภัยทางสุขภาพของประชาชน เพื่อให้รัฐบาลได้กำหนดเป็นกฏระเบียบค่ามาตรฐานของสารพิษตกค้าง ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคจริงๆ  ไม่เฉพาะในสินค้าข้าวสารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าอื่นๆที่ต้องกินต้องใช้กันทุกวัน  โดยมาตรฐานสารพิษตกค้างต้องได้มาตรฐานทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะชีวิตคนต้องมาก่อน ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน
ตัวอย่าง สารตกค้าง(MRLs) ตามมาตรฐานของโคเด็กซ์  ไทย และสหภาพยุโรป ในสินค้าข้าวสาร
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
MRLs(มิลลิกรัม/กิโลกรัม)
หมายเหตุ
โคเด็กซ์
ไทย
สหภาพยุโรป
2, 4 ดี (2, 4mD)
ไม่กําหนด
0.1
0.05*
สหภาพยุโรป - กําหนดสารพิษตกค้างในข้าวสารไว้
452 ชนิด และสารพิษชนิดใดไม่ได้กําหนด MRLs ไว้ให้ใช้ค่า 0.01 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นมาตรฐาน
(*) ปริมาณต่ำสุดของการตรวจวิเคราะห์ 


คลอไพริฟอส (chlorpyrifos)
ไม่กําหนด
0.1
0.05*
คาร์บาริล (carbaryl)
1
1
1
คาร์เบนดาซิม / เบโนมิล (carbendazim /benomyl) 
ไม่กําหนด
2
0.01*
คาร์โบซัลแฟน (carbosulfan)
ไม่กําหนด
0.2
0.05*
คาร์โบฟูราน (carbofuran)
ไม่กําหนด
0.1
0.02*
ไดไทโอคาร์บาเมต (dithiocarbamates)
ไม่กําหนด
0.05
0.05*
ไดควอท (Diquat)
0.2
ไม่กําหนด
0.05*
ฟลูโตลานิล (Flutolanil) 
1
ไม่กําหนด
2
พาราควอท (paraquat)
ไม่กําหนด
0.1
0.05
พิริมิฟอสเมทิล (pirimiphosmmethyl)
ไม่กําหนด
7
5
เฟนิโทรไทออน (fenitrothion)
ไม่กําหนด
1
0.05*



ที่มา : เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเพื่อเตือนภัยสารเคมีกําจัดศัตรูพืช ปี  2555         


เกร็ดความรู้ของแถม
          -สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกข้าวแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆ ที่เผชิญกับปัญหาเรื่อง หนู มด และมอด เรามีเกร็ดความรู้จากภูมิปัญญาชาวนาไทยมาฝากค่ะ
ปราชญ์ชาวนาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปัญหาเรื่องมอด จะน้อยลงมาก หากปลูกข้าวแบบไม่ใช้สารเคมี และควรเก็บข้าวในรูปของข้าวเปลือกที่มีความชื้นต่ำ เพราะไข่มอดจะกลายเป็นตัวอย่างรวดเร็วและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วเช่นกันเมื่อความชื้นสูงและอุณหภูมิที่เหมาะสม  ไม่ควรเก็บข้าวในรูปของข้าวสารเพราะผิวจะบางซึ่งง่ายต่อการเจาะกินของมอด หากสีเป็นข้าวสารแล้วยังขายไม่หมด ทานไม่หมดก็ควรแพ็คในลักษณะที่สัมผัสอากาศให้น้อยที่สุดหรือสูญญากาศได้ยิ่งดี หรือเก็บในที่เย็น
สำหรับปัญหาเรื่องมดและหนูซึ่งมันจะมากวนใจข้าวสะอาดปลอดภัยเป็นพิเศษ เพื่อนเกษตรกรของเราแนะนำให้ใช้ ทั้งวิธีธรรมชาติและวิธีกล เช่น  การใช้แมว กับดักหนู ตลอดจนใช้ไฟฟ้าช๊อต  และป้องกันมดและแมลง โดยใช้ปูนขาว สมุนไพร และกับดักแมลง เป็นต้น ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็จะทำให้เกษตรกรที่ดีได้ส่งมอบข้าวดีๆที่ปลูกด้วยรักคัดด้วยใจถึงมือผู้บริโภคที่ตั้งใจอุดหนุนท่านอย่างแท้จริง

-สำหรับผู้บริโภคเอง หากเลือกได้ก็ควรที่จะเลือกซื้อข้าวและอาหารจากผู้ผลิตที่ไว้ใจได้ และไม่ควรซื้อมาสะสมให้นานเกินไป ทยอยซื้อ ทยอยทานของสดๆใหม่ๆ และต้องทำใจที่จะยอมรับกับของกินของใช้ต่างๆที่มีอายุการเก็บรักษาที่สั้นลง เพราะนั่นเป็นการบริโภคที่เข้าใจถึงธรรมชาติของความเป็นจริง หากทำใจได้ ท่านก็จะเสี่ยงกับปัญหาเรื่องสุขภาพจากการสะสมสารเคมีในร่างกายที่ลดลง นั่นหมายถึง ชีวิตก็จะยืนยาวขึ้นภายใต้สุขภาพที่แข็งแรงนั่นเอง

                ตัวอย่าง การกำจัดหนู แมลง และมดในโรงเก็บ(ยุ้งฉาง)ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปลอดสารพิษ
หนู
·         กับดักประเภทต่างๆ
·         แมว
·         ติดลวดไฟฟ้า โดยเปิดกระแสไฟฟ้าบ่อยๆในช่วงแรก และเมื่อหนูจดจำได้มา
            รบกวนน้อยลงก็ไม่ต้องเปิดบ่อยๆ
มด
·         ยกพื้นที่วางข้าว
·         ใช้ปูนขาวโรยที่พื้นก่อนวางกระสอบข้าว
·         ใช้กากกาแฟโรยที่พื้น
แมลง/มอด
·         ใช้สมุนไพร เช่น เสือหมอบ กระเพราผี ตากแห้งแล้วนำมาวางไว้ใต้ยุ้งในช่วงข้างแรม
·         ใช้แสงไฟและกระป๋องทาน้ำมันดัก


ขอบคุณข้อมูลจาก


[i] รศ.สุชาตา ชินะจิตร กค.2549 http://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=1&ID=39
[ii] บริษัท Bangkok fumigation http://bfct.co.th/product_textbox.html#
[iv] เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเพื่อเตือนภัยสารเคมีกําจัดศัตรูพืช ปี  2555 หัวข้อ “การกำหนดปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด” ฝ่ายข้อมูลเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  http://www.thaipan.org/sites/default/files/conference2555/conference2555_0_07.pdf

[v] อังคณา สุวรรณกูฏ จดหมายข่าวผลิใบ ก้าวใหม่การวิจัยและพัฒนาการเกษตร  กรมวิชาการเกษตร

ครูเล็ก มงคล ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสระแก้ว
ครูไพโรจน์ พ่วงทอง เกษตรกรดีเด่นสาขาทำนาปี 2554
ครูสำราญ อ่วมอั๋น ศูนย์เกษตรอินทรีย์ชีวภาพบ้านดอนผิงแดด
  

2 ความคิดเห็น:

  1. เป็นประโยชน์มากเลยครับคุณทิพย์ ขออนุญาตนำไปเพิ่มความรู้ให้กับผู้อื่นด้วยนะครับ

    ตอบลบ