เดชรัต สุขกำเนิด
ตรุษจีนปีพ.ศ.
2555 นี้ ที่บ้านใหม่ของผมไหว้ตรุษจีนเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ผมได้รายงานเง็กเซียนฮ่องเต้ถึงพฤติกรรมของพวกเราว่า ครอบครัวเรา 5 คน
(รวมพี่หน่อย) ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปประมาณ 8 ตันเมื่อปีที่ผ่านมา
พร้อมกันนั้น
ผมก็ได้สัญญาว่าปีนี้จะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 1 ตัน
พร้อมทั้งปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกสำคัญให้มากขึ้น
พอผมนำคำรายงานและคำอธิษฐานดังกล่าว
ไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊คก็ปรากฏว่า มีเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คให้ความสนใจกันมากทีเดียว รวมทั้งให้กำลังใจ
และเพื่อนบางคนก็ไถ่ถามในภายหลังถึงวิธีคิดคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะสนใจที่จะไปลองคิดดูบ้าง
ภาพที่ 1 รายงานเง็กเซียนฮ่องเต้ถึงการใช้ทรัพยากรของโลกในวันตุษจีนปี 2555
ผมขอเริ่มต้นอธิบายแนวคิดก่อนนะครับ หลายคนที่สนใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนคงทราบดีว่า แนวคิดที่ผมใช้ในการคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คือ แนวคิดรอยเท้าคาร์บอน (หรือ Carbon footprint)
ผมขอเริ่มต้นอธิบายแนวคิดก่อนนะครับ หลายคนที่สนใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนคงทราบดีว่า แนวคิดที่ผมใช้ในการคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คือ แนวคิดรอยเท้าคาร์บอน (หรือ Carbon footprint)
คำว่า footprint หรือรอยเท้านั้นเป็นการอุปมาแบบฝรั่ง
เปรียบเสมือนการที่คนเราย้ำไปในหาดทราย ก็จะปรากฏรอยเท้าทิ้งเอาไว้
หากการใช้ทรัพยากรของเราได้ทำให้ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลงไปก็คงเปรียบเสมือนรอยเท้าที่ย่ำลงไปโดยที่ผู้อื่นก็ไม่สามารถเข้ามาย่ำซ้ำได้
(เพราะเราได้ใช้ทรัพยากรในส่วนนั้นหมดแล้ว) และเมื่อทุกคนช่วยกันย่ำ
(โดยไม่ซ้ำที่กัน) ในไม่ช้าเราก็พบว่า
หาดทรายนั้นก็เต็มไปด้วยรอยเท้าจนไม่มีที่ว่าง (หรือทรัพยากรที่เหลืออยู่) อีกแล้ว
เพราะฉะนั้น
ภายใต้แนวคิดนี้ ผู้ที่มีรอยเท้าใหญ่ ซึ่งก็คือ ผู้ที่ใช้ทรัพยากรมาก
และหากทั้งสังคมมีรอยเท้าใหญ่ สังคมนั้นก็จะมีการใช้ทรัพยากรที่มาก
จนเกินกว่าทรัพยากรที่ตนเองมี และมักจะไปนำเข้ามาจากประเทศอื่นๆ
หรือสร้างหนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังช่วยชดเชย
รอยเท้าคาร์บอนก็พัฒนามาจากแนวคิดดังกล่าว
เพียงแต่ประยุกต์ว่า
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยไปจากการใช้พลังงานและการบริโภคต่างๆ
จำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าไม้ (ซึ่งก็คือทรัพยากร)
เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกไป เพราะถ้าไม่มีพื้นที่ป่าคอยดูดซับ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกไปก็ต้องไปสะสมในชั้นบรรยากาศ
จนกลายเป็นภาวะเรือนกระจกเช่นในปัจจุบัน
ดังนั้น
ใครที่บริโภคและใช้พลังงานมาก ก็จะถือว่ามีรอยเท้าใหญ่ แต่คราวนี้ไม่ใช่ “ใครใหญ่
ใครอยู่” แบบการแข่งขันทางธุรกิจทั่วไป แต่กลายเป็น “ใครใหญ่ อยู่ยาก”
เพราะจำเป็นจะต้องมีพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ปลูกต้นไม้จำนวนมากขึ้น
เพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยออกมา
แต่หาก
“ขาใหญ่” ผู้นั้น ไม่มีการปลูกป่าเพื่อคอยดูดซับ
ขาใหญ่ผู้นั้นก็จะฝากหนี้คาร์บอนเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังต้องรับภาระไปอีกนาน
เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยในวันนี้ก็จะสะสมในชั้นบรรยากาศนานกว่า 150 ปี
เพราะฉะนั้น
งานนี้ ใครใหญ่ อยู่ยากครับ
ขอย้อนกลับมาที่การคิดคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครับ
เริ่มต้นจากการจดข้อมูลการบริโภคพลังงานของครอบครัวเราครับ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การใช้น้ำมัน และก๊าซหุงต้มครับ จากนั้น
เราก็จะนำมาคำนวณหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปริมาณการใช้พลังงานของเราครับ
ตัวอย่างเช่น
บ้านผมใช้ไฟฟ้าประมาณ 350 หน่วยต่อเดือน (หรือกิโลวัตต์-ชั่วโมง/เดือน)
ปีหนึ่งก็ใช้ไฟฟ้าไปประมาณ 4,200 หน่วย
การผลิตไฟฟ้าแต่ละหน่วยของไทยจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยประมาณ 0.5610
กก.CO2/หน่วยไฟฟ้า เพราะฉะนั้น การใช้ไฟฟ้าในบ้านของผมทั้งปี
ก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2.356 ตัน CO2/ปี
จากนั้น ก็มาถึงตัวปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำคัญคือ
รถยนต์ ยิ่งครอบครัวผมมีรถยนต์สองคัน คันหนึ่งกินน้ำมันน้อยหน่อย (ประมาณ 15
กม./ลิตร) อีกคันหนึ่งกินน้ำมันมากหน่อย (ประมาณ 11 กม./ลิตร)
คันแรกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ประมาณ 90
ลิตร/เดือน คันที่สองใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ประมาณ 120
ลิตร/เดือน รวมสองคันใช้น้ำมันไป 210 ลิตร/เดือน หรือ 2,520 ลิตร/ปี
การเผาไหม้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 แต่ลิตรจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
1.9706 กก.CO2/ลิตร เพราะฉะนั้น
ตลอดทั้งปีการขับรถของผมและภรรยาก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไป 4.965 ตัน CO2/ปี
ต่อมา
ก็เป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ก๊าซหุงต้ม
(หรือ LPG)
ซึ่งแต่ละปีครอบครัวผมจะใช้ก๊าซหุงต้มประมาณ 6 ถัง หรือ 90 กก./ปี
ซึ่งการเผาไหม้ก๊าซหุงต้มแต่ละกิโลกรัมจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 0.7350 กก.CO2/กก.LPG เพราะฉะนั้นแต่ละปี ครอบครัวผมก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการหุงต้มในครัวเรือนไปประมาณ
66.15 กก. CO2/ปี
นอกจากนั้น
ก็จะมีการใช้น้ำประปา
ซึ่งการผลิตน้ำประปาแต่ละหน่วยก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปประมาณ 0.0264 กก. CO2/ลูกบาศก์เมตร เมื่อบ้านผมใช้น้ำประปาประมาณ 35 ลูกบาศก์เมตร/เดือน หรือ
420 ลูกบาศก์เมตร/ปี ก็จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปทั้งสิ้น 11.09 กก.CO2/ปี บวกกับการจัดการขยะแกเล็กน้อยประมาณ 102 กก. CO2/ปี
รวมเบ็ดเสร็จบ้านผมก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปทั้งสิ้น
7.503 ตัน CO2/ปี
เราก็เลยประมาณกันและรายงานเง็กเซียนไปว่า ครอบครัวเราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไป
8 ตัน ในปีที่ผ่านมา
ซึ่งหากเทียบกับการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็คงจะต้องปลูกต้นไม้ให้ได้ประมาณ
3 ไร่ (ไร่ละ 3.02 ตัน CO2/ปี)
ซึ่งครอบครัวเราก็ปลูกต้นไม้กว่า 50 ชนิดในพื้นที่หนึ่งไร่
และยังปลูกที่วังน้ำเขียวอีก 3 ไร่ และที่ชุมพรอีกกว่า 9 ไร่
เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อย รวมทั้งหมดแล้วน่าจะดูดซับได้มากกว่า 36 ตัน/ปี
ภาพที่ 2 สวนวังน้ำเขียวของเรา ปลูกป่ามา 16 ปีแล้ว ตั้งแต่ตอนแต่งงานใหม่ๆ ตอนนี้ต้นไม้เริ่มใหญ่แล้ว ต่อไปหลายต้นคงใช้เป็นสินสอดหรือของขวัญวันแต่งงานให้ลูกได้
อย่างไรก็ดี ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 8 ตัน/ปีนี้ ยังไม่รวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการผลิตอาหารที่ซื้อเข้ามาบริโภค และการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งบ้านเรายังมิได้เก็บข้อมูลรายละเอียดเพียงพอที่จะมาคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
อย่างไรก็ดี ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 8 ตัน/ปีนี้ ยังไม่รวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการผลิตอาหารที่ซื้อเข้ามาบริโภค และการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งบ้านเรายังมิได้เก็บข้อมูลรายละเอียดเพียงพอที่จะมาคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
ถ้าประมาณการณ์จากข้อมูลโดยเฉลี่ยของคนไทยที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการบริโภคอาหารประมาณ
867.52 กก.CO2/ปี ครอบครัวเรา 5
คนก็จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบริโภคอาหารไป 4.337 ตัน CO2/ปี
แต่เนื่องจากที่บ้านของเราปลูกผักไว้กินเองหลายชนิด
โดยไม่ใช่ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช
ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งข้าวที่เราบริโภคเราก็ซื้อข้าวหอมที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี
เพราะฉะนั้น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบริโภคอาหารจึงน่าจะลดลงไปมาก
ซึ่งในปีหน้าเราจะลองมาคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบริโภคอาหารกันดูอีกครั้งหนึ่ง
จากข้อมูลทั้งหมด
จะเห็นได้ว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยส่วนใหญ่ หรือประมาณ 2 ใน 3
(หรือร้อยละ 66) จะมาจากการใช้รถยนต์ ส่วนอีกประมาณร้อยละ 31 จะมาจากการใช้ไฟฟ้า
เพราะฉะนั้น
ในปีนี้เราจะควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสองส่วนนี้ให้เข้มงวดขึ้น
โดยเฉพาะการใช้รถยนต์ที่ผมตั้งใจว่าจะลดการใช้น้ำมันลงให้ได้ร้อยละ 20
เพราะน้ำมันก็แพงขึ้นมากพอดีเหมือนกัน
เกมนี้จึงไม่ใช่เกมใครใหญ่ใครอยู่
แต่เกมเพื่อโลกใบนี้จึงต้องเน้นรอยเท้าให้เล็กลง
เพื่อรักษาโลกของเราไว้ให้ชนรุ่นหลัง ครอบครัวเราจะทำได้ดีมากน้อยเพียงใด
มาติดตามกันในวันตรุษจีนปีหน้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น