บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การศึกษาทาง (พ่อ) เลือก



เดชรัต สุขกำเนิด (พ่อต้น)

จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกที่เราพ่อแม่มักจะไขว่คว้าหาการศึกษาทางเลือกบ้าง โรงเรียนทางเลือกบ้าง แต่เรากลับไม่ค่อยได้ย้อนคิดว่า การศึกษาที่เรามุ่งหวังและมุ่งสร้างให้ลูกของเรา คืออะไรกันแน่

เป็นไปได้ว่า เพราะเราอาจจะมุ่งไปที่การ “เลือก” มากเกินไป เหมือนที่เราคุ้นเคยกับการเลือกสมาร์ทโฟน เลือกบ้านจัดสรร เลือกหุ้นตัวที่มีอนาคต เลือกร้านอาหารอร่อย และเลือกโรงเรียนที่เราเชื่อถือ

แต่ก็เป็นไปได้ว่า ในชีวิตของเรา เราอาจมีอีกหลายๆ เรื่อง ที่เรามิอาจเลือกทุกอย่างได้ทั้งหมด เพราะบางกรณี อาจไม่มีใครเสนอ “ตัวเลือก” หรือ “ทางเลือก” ที่ตรงกับใจเรา เพราะผู้ประกอบการที่เสนอผลิตภัณฑ์/บริการเหล่านั้นอาจจะยังไม่ทราบว่าเราต้องการอะไร

หรืออาจเป็นไปได้ว่า เราเองก็อาจจะยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า ตัวเราเองต้องการอะไรกันแน่

ดังนั้น หลายเรื่องในชีวิต จึงมิอาจตั้งอยู่บนฐานของการเลือก ที่พวกเราชนชั้นกลางและผู้บริโภคที่มีอำนาจซื้อคุ้นเคย แต่เป็นเรื่องที่เราจะต้อง “ลงมือ” สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาด้วยมือของเราเอง โดยใช้ “ใจ” ของเราเป็นไฟนำทาง

การศึกษาของลูกเรา น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น ที่ต้องใช้ “ใจ” และ “มือ” ของเราประกอบมันขึ้นมา มิใช่แค่ไป “เลือก” หาสินค้าที่มีคุณภาพจากชั้นวางเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ

ผมยอมรับว่า ตัวผมเองก็ไม่เคยขบคิดกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน เพราะเชื่อว่าตัวเองได้เลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกแล้ว และแม้บางครั้งที่เราอาจหงุดหงิดกับโรงเรียนที่เราเลือก คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของผมก็มักจะเป็น “แล้วเราจะเลือกโรงเรียนไหนให้ลูกเราดี หรือเราไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไป”

ทุกอย่างเป็นเรื่องการเลือก แม้ว่าหลายครั้งเราจะไม่ค่อยมีทางเลือกก็ตาม


น้องกระติ๊บตอน ป.1 ไปทัศนศึกษากับพี่ปริญญาโท ที่สวนกล้วยไม้ อ.สามพราน 
(พย.2549)


จะว่าไปก็เพราะน้องน้ำนั้นแหละที่ทำให้ผมได้คิด

ผมจำไม่ได้ว่า นานเท่าไรแล้วที่ชีวิตของผมจะตื่นขึ้นมา แล้วไม่มีกำหนดการกำกับไว้ในสมุดแพลนเนอร์ แต่ก็เพราะน้ำท่วมนี้แหละที่ทำให้งานต่างๆ ถูกยกเลิกออกไป ทุกเช้าในช่วงนั้น จึงมีแต่เสียงลูกทั้งสองคนที่บอกว่า วันนี้อยากเรียนรู้เรื่องอะไร อยากจะไปที่ไหน อยากให้พ่อสอนอะไรบ้าง

เราพ่อ แม่ ลูกจึงได้ไปเที่ยวและเรียนรู้ร่วมกันมากมาย ทั้งพื้นที่ประวัติศาสตร์ ตำราเรียน แบบฝึกหัด และชีวิตผู้คน

ผมจึงเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ลูกของเราอาจไม่ได้ต้องการเฉพาะ “การศึกษา” หรือ “โรงเรียน” ที่เลือกให้ แต่ “ตัวเรา” ต่างหากที่เป็น “การศึกษาทางเลือก” ที่ลูกต้องการ ซึ่งเราก็อาจหลงลืมและไม่ค่อยให้เวลากับลูกอย่างที่เขาอยากจะให้เป็น

ผมย้อนคิดไปถึงวันเวลาที่พวกเราได้เคยจัดกิจกรรมเรียนรู้โลกกว้างร่วมกันตั้งแต่ ป.2 จนถึง ป.5 นั่นคือ ส่วนหนึ่งของการศึกษาที่พวกเราพ่อแม่ลงมือสร้างขึ้นมาด้วยใจของเราเอง แล้วพวกเรายังจดจำรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำตา (ในบางครั้ง) และคำถามของลูกๆเราได้หรือไม่ สำหรับผมแล้ว มันเป็นกิจกรรมที่มีความสุขและความประทับใจไม่รู้ลืม

เรียนรู้วิถีชีวิตชาวสวนและการทำน้ำตาลปี๊บที่สมุทรสงคราม 


ทำกระทงที่สวนศิลป์บ้านดิน

แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมผมจึงปล่อยให้สิ่งที่เรียกว่า “งาน” มาช่วงชิงเวลาของผมไปจนหมด กิจกรรมดีๆ เช่นนี้จึงเงียบหายไปกับภาระอันหนักอึ้งของผม แม่ทิพย์ และพ่อแม่พวกเราทุกคน จนกระทั่งพ่อยมและแม่ตุ๊ก พร้อมกับหลายๆ ท่านช่วยกันรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในเดือนสุดท้ายของชั้น 6 นี้ (ขอขอบคุณพ่อยมและแม่ตุ๊กมากๆ ครับ)

สนุกสุดเหวี่ยงก่อนจากกันตอน ป.6 แก่งกระจาน (เม.ย.2555) 






  
มาถึงตรงนี้ ผมเลยนึกถึงโพสต์อันหนึ่งในกลุ่มเพลิน เขาบอกว่า

“หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้ 
แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจเศร้าโศกไปชั่วชีวิต
ลองคิดดูว่า คุ้มกันมั้ยหากเราจะทุ่มเทกับงานมากกว่าครอบครัว”
นี่เป็นโจทย์สำคัญที่พระไพศาล วิศาโล เคยบอกไว้นานแล้วว่า คนเรามักให้ความสำคัญกับ
 “งานที่เร่งด่วน” (มิฉะนั้น นายจ้างหรือลูกค้าอาจหันไปหาคนอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องรอให้เราตาย) มากกว่า “งานที่สำคัญ” (เช่น การศึกษาของลูกเรา) อยู่เสมอ

ผมเองก็มักตกอยู่ในบ่วงของงานเร่งด่วน และหลงลืมงานสำคัญ โดยเฉพาะหลงลืมการเรียนรู้ของลูกเรา ไปอย่างน่าเสียดาย (จริงๆ แล้ว ต้องเรียกว่า “น่าเสียใจ” มากกว่า) จนกระทั่ง น้องน้ำมาเบรคงานเร่งด่วนทั้งหมด ผมจึงได้มีโอกาสทำงานที่สำคัญ แล้วผมก็พบว่า การทำงานที่สำคัญนั้นเป็นงานที่มีความสุข โดยเฉพาะสำหรับลูกๆ ของเราเอง

ผมจึงตระหนักรู้ว่า การศึกษาทางเลือกของผมนั้นคืออะไร คำตอบคือ  “การศึกษาที่ผมจะเลือกลงมือเอง” ทั้งนี้ ผมมิได้หมายความว่า ผมจะไม่พาลูกไปโรงเรียน หรือ ผมสอนหนังสือได้ดีกว่าโรงเรียน แต่หมายความว่า นอกเหนือจากโรงเรียนและอื่นๆ ที่เราเลือกให้ลูกแล้ว ผมก็พร้อมแล้วที่จะลงมือเอง

ในระหว่างน้ำท่วมนั้น ผมพบว่า วิชาวิทยาศาสตร์เป็นจุดอ่อนสำคัญสำหรับกระติ๊บลูกสาวคนโตของผม (และของเด็กเพลินชั้น 6 หลายๆคน) ประกอบกับเขาก็ชอบเรียนวิทยาศาสตร์แบบที่ผมคุยให้ฟังซะด้วย พอน้ำลด ผมเลยเปิดตัวรายการ “สู้เพื่อลูก” เพื่อติววิทยาศาสตร์ให้กับลูกของพวกเรา ทุกเช้าวันอาทิตย์ ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง


“สู้เพื่อลูก วิชาวิทยาศาสตร์ ช่วงชั้น 2”
          ( ม.ค.2555)
 
ปรากฏว่า นอกจากกระติ๊บแล้ว ยังมีเด็กอีกหลายคนที่มาร่วมเป็นประจำ ผมว่า เป็นช่วงเวลาที่สนุกดีนะครับ ผมยังจำได้ “เธน” จะต้องเตรียมคำถามมาจากบ้านล่วงหน้าทุกครั้ง ส่วน “ข้าว” จะมีคำถามแปลกๆที่น่าสนใจ มาถามเสมอ “ตั้ม” มาเป็นประจำทุกครั้ง พร้อมทั้งยังถามผมว่า ทำไมไม่จัดอีก “มีมี่” อยู่ป.4 แต่อยากมาร่วมฟังกับ “พี่มินท์”   “น้องแดน” ลูกชายคนเล็กของผมอยู่แค่ ป.1 แต่ก็อยากจะฟังด้วย และมักถามคำถามตลกๆ ให้พี่ๆ ได้สนุกและมีความสุขกันอยู่เสมอ
                                         
สำหรับผม มันช่างเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส หลายครั้งก็มีคุณแม่หลายท่านมารอลูกๆ และตั้งวงคุยกันด้วย ทำให้บรรยากาศยิ่งคึกครื้นมากขึ้น ถึงตอนนี้ ผมแน่ใจแล้วว่า การลงมือด้วยตนเองคือ การศึกษาที่ผมจะเลือกทำ เพื่อเพิ่มเติมลงไปในพื้นที่ชีวิตการเรียนรู้ของลูก

อย่างไรก็ดี ผมยังไม่ลืมที่จะต้องหลอกตัวเองให้เห็นว่า งานนี้เป็นงานเร่งด่วน ด้วยการจดลงในสมุดนัด สมุดที่บัญชาชีวิตของผม วิธีการนี้ผมเรียนรู้มาจากแดนไท เวลาผมรับปากจะพาแดนไปเที่ยวสถานเสาวภา พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ หรือที่ไหนก็ตาม แดนไทจะย้ำเสมอว่า “พ่อ จดวันเที่ยวไว้ในสมุดของพ่อแล้วหรือยัง” ในช่วงนั้น หากใครเชิญให้ไปบรรยายวันอาทิตย์ ผมก็จะตอบว่า “ผมติดสอน” แล้วผมก็จะรักษาเวลานั้นไว้ เพื่อทำงานสำคัญสำหรับชีวิตของผมและชีวิตของลูก

ผมคิดว่าพวกเราพ่อแม่คงจะต้องตั้งหลักกันอย่างจริงจัง ว่าเราจะลงมือเรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกรักอย่างไรดี ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นสุดยอดในวิชานั้น เพียงแต่เรานั่งลงและเรียนรู้พูดคุยไปพร้อมๆ กัน อ่านหนังสือหรือทำการบ้านเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ ทำจิตใจให้สนุก ย้ำกับตัวเราเองเสมอว่า เรากำลังทำงานสำคัญสำหรับชีวิตเราและชีวิตลูก

บางครั้งเราอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่การเรียนรู้ร่วมกันก็ยังสร้างความสุขให้กับลูกอยู่ดี เช่น ผมมักนั่งอ่านวิชาประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับกระติ๊บก่อนนอน เพราะกระติ๊บชอบวิชาประวัติศาสตร์มาก ถึงจะไม่มีวิชานี้ในการสอบเข้าม.1 แต่เราก็ต้องเรียนด้วย ลูกถึงจะมีความสุขในการเตรียมสอบ วิชาภาษาอังกฤษ ทั้งพ่อและแม่ไม่ค่อยถนัดทั้งคู่ ก็เลยใช้วิธีนั่งดูวิดีโอ คริสเดลิเวอรี่ด้วยกัน สนุกกันทั้งบ้าน ส่วนวิชาภาษาไทย คุณลูกล้ำหน้าคุณพ่อคุณแม่ไปไกลแล้ว โดยเฉพาะการแต่งกาพย์กลอน ก็ให้ลูกสอนเราบ้างก็ได้ครับ

ผมอยากย้ำว่า สำหรับเราแล้ว “ลูกไม่ได้ต้องการสุดยอดครูหรือติวเตอร์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน” สิ่งเหล่านั้นหาได้ไม่ยากที่โรงเรียน โรงเรียนกวดวิชา อินเตอร์เน็ต หรือจานดาวเทียม แต่บางครั้ง ลูกต้องการ “เรา” พ่อแม่ที่อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มิอาจหาใครทดแทนหรือดาวน์โหลดได้จากที่ไหน

คุณยุทธการ มากพันธุ์ อดีตผู้จัดการของคำแสดรีสอร์ทเคยบอกผมว่า หลายครั้งคนเรามักจะหา “ความสุขแบบวิถีอ้อม” นั่นคือ การมุ่งทำงาน เพื่อให้ได้เงิน แล้วนำเงินไปซื้อสิ่งต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุขของเรา สุดท้ายไม่แน่ใจว่าเรายังเหลือเวลา และเหลือใจสำหรับความสุขนั้นมากน้อยเพียงใด คุณยุทธการแนะว่า เราน่าจะแบ่งเวลาของเรา มาหา “ความสุขวิถีตรง” กันบ้าง นั่นคือ การลงมือสร้างความสุขที่เราต้องการขึ้นมา ด้วยมือและใจของเราเอง โดยไม่ต้องอาศัยเงินเป็นสื่อกลางเสียทุกครั้งไป

ผมคิดว่าข้อแนะนำของคุณยุทธการนั้นใช้ได้กับการศึกษาของลูกเราเช่นกัน แทนที่เราจะมุ่งหาเงินมาสำหรับการศึกษาที่เรา “เลือกสรร” ให้กับลูกของเราอย่างดีที่สุด เราอาจจะแบ่งเวลาของเรามาสร้าง “ปฏิบัติการเรียนรู้” ด้วยมือและใจของเราเอง ใครจะรู้ว่าเราอาจจะได้การเรียนรู้และความสุขมากกว่าการเลือกสรรที่เราเคยชินอยู่ก็ได้

จากนี้ต่อไป ทุกเช้าวันอาทิตย์ที่บ้านของเราจะเปิดเป็นพื้นที่การเรียนรู้สำหรับลูกๆ พ่อแม่ ของเพลินชั้น 6 ในปีนี้ ทุกครอบครัว นอกจากวิชาวิทยาศาสตร์และสังคมศึกษาที่ผมจะสอนแล้ว ผมอยากเชิญพ่อยมมาสอนคณิตศาสตร์ แม่น้องมาสอนภาษาอังกฤษ แม่กิ้มจะมาสอนเพศศึกษา แม่เจี๊ยบมาสอนทำคูเดอพาจ เสียดายที่แม่ตู๋คงมาสอนประวัติศาสตร์ไม่ได้แล้ว เพราะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ใครสะดวกสัปดาห์ไหนก็มา ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร หรือไม่มีที่ไปก็แวะมานั่งเรียนรู้ร่วมกัน บางครั้ง เราอาจย้ายไปเรียนทำขนมที่บ้านแม่พิม เรียนศิลปะบ้านพ่ออ๊อด หรือไปเที่ยวนอกสถานที่กันก็ได้ ขอให้เราเรียนร่วมกันก็พอ

ขอขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกทุกท่าน สำหรับการอยู่ร่วมกันในชุมชนแห่งการเรียนรู้ตลอดหลายขวบปีที่ผ่านมา จากนี้ต่อไป ไม่ว่าพวกเราจะแยกย้ายกันไปอยู่โรงเรียนใด เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่เสมอ เมื่อลูกของเราเติบใหญ่และก้าวไปสู่โลกที่กว้างไกลและเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ผมคิดว่า ไม่มีทางเลือกใดที่จะดีไปกว่าการเรียนรู้ที่อยู่บนโลกใบนี้ให้ดีที่สุด ไปพร้อมๆ กับลูกรักของพวกเรา


นี่คือ การศึกษาทางที่ผมเลือก ทางที่พ่อแม่จะร่วมสร้างการเรียนรู้ ด้วยมือและใจของพวกเรา เรียนรู้โดยตรงกับลูกรักไปพร้อมๆกับการเรียนรู้ในโรงเรียนและสื่ออื่นๆ และผมอยากชวนให้ทุกท่านมาลงมือเรียนรู้ร่วมกัน


Learn with Love
.



ฉลาดงอก



รุ่งทิพย์  สุขกำเนิด

        “อะไรเอ๋ย ตอนเด็ก ตัวเขียวๆ พอโตเป็นสาว ขาวอวบน่าหมั่นเขี้ยว  (อะอ้า อย่าคิดมาก) ใบ้ให้อีกนิดเดียวว่า แม่ค้าจะหวาดเสียว ถ้าไม่มีเธอในร้านให้เคี้ยวคู่กับอาหารต่อไปนี้ ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่แห้ง ผัดไทย หอยทอด เกาเหลา และข้าวยำ”
         
         ก็  “ถั่วงอก” ไงคะ  คิดไม่ถึงใช่ไหมหล่ะ ว่าถั่วงอกเนี่ยเป็นผักยอดฮิตคู่กับอาหารไทยอย่างไม่น่าเชื่อ  มีค่าประมาณการว่าเฉพาะกรุงเทพมหานครเพียงจังหวัดเดียวมีการบริโภคถั่วงอกถึง 2 แสนกิโลกรัมต่อวัน เมื่อคำนวณทั้งประเทศคนไทยจะบริโภคถั่วงอกไม่น้อยกว่า 1 ล้านกิโลกรัมต่อวันเลยทีเดียว1




ไม่ใช่แค่ถั่วงอกจะเป็นผักยอดฮิต  แต่ถั่วงอกยังเป็นแหล่งสารอาหารและวิตามินที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะมีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งอยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็ว เนื่องจากกระบวนการงอกทำให้โมเลกุลของสารอาหารในเมล็ดเปลี่ยนไปอยู่ในลักษณะที่ร่างกายย่อยได้ง่าย โดยโปรตีนในเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโน  ไขมันจะเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน และแป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส  อีกทั้งถั่วงอกยังมีวิตามินบีรวม วิตามินอี และวิตามินซีซึ่งอยู่ในรูปสารละลายมีปริมาณเพิ่มขึ้น (พบว่าถั่วและเมล็ดงอกทุกชนิดมีวิตามินซีมากกว่าในรูปที่เป็นเมล็ด 3-5 เท่า (เทียบเท่ากับมะเขือเทศ) วิตามินบี 1 มีปริมาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า)  นอกจากนี้การงอกยังทำให้เกิดวิตามินบี 12 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ ซึ่งปกติวิตามินบี 12 นี้จะพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น และยังพบธาตุเหล็ก และมีสารเลซิติน (lecithin) ซึ่งช่วยบำรุงประสาทและการทำงานของสมอง มีสารต้านความแก่ ที่เรียกว่า ออซินัน (auxinon) ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่แก่เร็ว2  ด้วยความที่ถั่วงอกเป็นผักที่ทานง่ายกลิ่นอ่อน และให้เส้นใยสูง จึงเหมาะอย่างยิ่งกับเด็กและคนที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย จะเห็นว่าถั่วงอกเป็นพืชที่ให้สารอาหารมากมายอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับราคาและระยะเวลาในการปลูก

การทดสอบสารอาหารต่อถั่่่วงอกหนึ่่่ึ่่งหน่วยบริโภค 100 กรัมจากห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบอาหาร  คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์


เฉพาะรายการที่ทดสอบ
ผลการทดสอบ
(ต่อถั่วงอก 100 กรัม)
วิธีทดสอบ
วิตามิน
27.51 มิลลิกรัม
HPLC
โปรตีน
1.69 กรัม
Kjeldahl’s method
ไขมัน
0.04 กรัม
SFE
ไฟเบอร์
0.93 กรัม
AOAC
โซเดียม
3.69 มิลลิกรัม
FASS
แคลเซียม
13.14 มิลลิกรัม
FASS
เหล็ก
5.16 มิลลิกรัม
FASS
ที่มา : http://surabean.com/NutriFactsTH.html

แต่ก็เป็นที่น่าเสียวไส้อยู่ไม่น้อย หลังจากที่มีข่าวว่าเชื้ออีโคไลได้คร่าชีวิตชาวเยอรมันเมื่อปีที่ผ่าน (ปี 2554)มาจากการทานถั่วงอกเข้าไป3  แต่สำหรับคนไทยเชื้อนี้อาจทำอะไรเราไม่ได้มากเพราะเรามีภูมิต้านทานดีกว่า แต่ท่านพญายมอาจถามหาคนไทยที่นิยมทานถั่วงอกได้ ก็เพราะว่าในอุตสาหกรรมการผลิตถั่วงอกของบ้านเรามีการอนุญาตให้ใช้สารเคมีโซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ในน้ำสุดท้ายก่อนนำถั่วงอกออกจำหน่าย เพื่อป้องกันไม่ให้ถั่วงอกสีคล้ำลง แม้จะมีมาตรฐานกำหนด แต่มันก็เป็นการนำสารเคมีเข้าสู่ร่างกายอยู่ดี  คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของคุณจะสามารถรับสารเคมีได้อีกมากน้อยแค่ไหน เพราะวันหนึ่งๆเราก็รับสารเคมีเข้าไปเยอะอยู่แล้ว ทั้งจากการกิน ดม ทา อาบ ฯลฯ และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าสารป้องกันสีคล้ำที่เขาใช้กันตามมาตรฐานจะไม่สะสมในร่างกาย หรือไม่ทำปฏิกริยากับสารเคมีอื่นที่รับเข้าไปด้วย และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้นในระยะยาว???  ที่ผ่านมา เคยมีรายงานว่ามีผู้ผลิตบางราย ทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และทั้งที่รู้แต่ยังทำได้ ใช้สารฟอกขาวประเภทโซเดียมโฮโดรซัลไฟต์4 ซึ่งใช้ในการย้อมอวนแทนสารที่ได้รับอนุญาต ยิ่งไปกันใหญ่ และมีบางรายใช้ฟอร์มาลีน5 ร่วมด้วยเพื่อรักษาความสดของถั่วงอกนี่ยิ่งหนักเลย  เอาเป็นว่า เพื่อความปลอดภัย บ้านต้นคิดทิพย์ธรรม จะขอแนะนำวิธีเพาะถั่วงอกกินเองแบบง่ายๆ ปลอดภัย สบายกระเป๋า ให้ลองไปทำกันดูค่ะ

ขั้นแรก  เตรียมอุปกรณ์
 1. ถั่วเขียว 5 กำมือ (ประมาณ 2 ขีดหย่อนๆ) แช่น้ำ 1 คืน
 2. กระถางดินเผาปากกว้างประมาณ 9 นิ้วที่ล้างสะอาดตากแดดจนแห้ง 1 ใบ
 3. ใบตองล้างสะอาด ประมาณครึ่งใบ
 4. ไม้เล็กๆ สำหรับขัด (เช่น ไม้ไผ่เล็กๆ คล้ายตอกแต่แข็งกว่า)
ขั้นที่ 2 วิธีการทำ
          1. วางใบตอง 3 ชั้น  แล้วตามด้วยถั่วเขียวทั้งหมด
          2. ปิดด้วยใบตองสัก 3 ชั้น
          3. เอาไม้ขัดให้แน่น โดยขัดสูงกว่าถั่วเล็กน้อย
4. รดน้ำหรือ แช่กระถางในกะละมังที่มีน้ำพอท่วมถั่่ว  ทิ้งไว้ 3-5 นาทียกขึ้น ทำวันละ 3-4 เวลา
          5. เก็บไว้ในที่ร่ม และค่อนข้างมืด
          6. ทำซ้ำข้อ 2.4 และ 2.5 รวม 3 วัน 2 คืน


1.ถั่วเขียวแช่น้ำ 1 คืน




2.วางใบตองแล้วตามด้วยถั่วเขียว

3.ปิดด้วยใบตองอีกที


4.ใช้ไม้ขัด  แช่น้ำแล้วเก็บไว้ที่ร่มและมืด

5.ครบวันที่ 3 เปิดออกดู 

6.เตรียมเมนูเด็ดไว้ทานกับถั่วงอก





























พอถึงวันที่ 3 ตอนบ่าย ก็เตรียมเมนูที่ชอบ พร้อมกับเปิดม่านสีเขียวเพื่อพบกับน้องสาวขาวอวบแสนอร่อย และปลอดภัย ประมาณ 1 กิโลกรัม เท่านี้ก็อูย  น้ำลายหก ขอตัวไปทานหอยทอดก่อนนะ

        ก่อนไป มีเพื่อนๆหลายคนนำวิธีข้างบนไปลองทำ แต่ไม่สำเร็จ บางทีก็เน่าบ้าง ขึ้นราบ้าง  ความลับของความสำเร็จอยู่ที่ความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้ และเมล็ดถั่ว โดยเฉพาะ เมล็ดถั่วที่แตกหรือเน่า ต้องคัดทิ้งเสียก่อน  รวมถึงเวลาเพาะต้องไม่ให้น้ำจนชื้นอยู่ตลอดเวลา หรือแฉะเกินไป
        
        สำหรับถั่วงอกที่ได้ ควรล้างทำความสะอาดแยกเอาเปลือกเขียวออก และปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนที่จะใส่ถุงพลาสติกพองลม หรือใส่ในกล่องพลาสติกเข้าตู้เย็น จะสามารถรักษาความสดไว้ได้นานกว่า 2 สัปดาห์ ในขณะที่ถั่วงอกที่ซื้อจากตลาด แม้จะดูสวยอวบกว่าที่เพาะเอง แต่จะมีอายุเพียง 2-3 วันเท่านั้น


เกร็ดเล็กๆเรื่องสารฟอกขาวหรือสารฟอกสี

ตามปกติสารเคมีที่เป็นอันตรายที่ใช้ในอาหารนั้น    จะมีบางชนิดที่อนุญาตให้ใส่ลงในอาหารได้ในปริมาณที่กำหนด หรือที่เรียกว่าวัตถุเจือปนอาหาร เพื่อปรับปรุงคุณภาพของอาหารให้ดีขึ้น แต่สารเคมีบางชนิดเป็นสารที่ไม่อนุญาตหรือห้ามใช้ในอาหารเนื่องจากเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างร้ายแรง เช่น สารบอแรกซ์ (ผงกรอบ)  ซาลบูทามอล (สารเร่งเนื้อแดง)  กรดซาลิซิลิค (สารกันรา) ฟอร์มาลิน (สารคงความสด) และโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (สารฟอกขาว) เป็นต้น  
สำหรับสารฟอกขาวที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารได้ แต่ถ้าใช้เกินปริมาณที่กำหนดจะเกิดอันตรายได้ เช่น โซเดียมซัลไฟต์ในปริมาณที่เกินกำหนด    จะมีผลทำให้เกิดมีสารกำมะถันตกค้างในอาหารในปริมาณสูงและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหอบ หืด อ่อนเพลีย และผู้ที่ออกกำลังมาก
สารฟอกขาวที่ใช้ในอาหารนั้นมีหลายชนิด       แต่ที่นิยมใช้กันในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารก็คือสารเคมีในกลุ่มซัลไฟ ต์ ได้แก่
            - สารประกอบซัลไฟต์ เช่น แคลเซียมซัลไฟต์ โซเดียมซัลไฟต์ โพแทสเซียมซัลไฟต์
            - สารประกอบไบซัลไฟต์ เช่น  โพแทสเซียมไบซัลไฟต์    ใช้ป้องกันการบูดเสียของอาหารได้ด้วย
            - สารประกอบเมตาไบซัลไฟต์ เช่น โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ 
ส่วนสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์หรือผงซักมุ้ง (หรือชื่ออื่นคือ โซเดียมไดไธโอไนต์) เป็นสารฟอกสีที่เป็นอันตรายกระทรวงสาธารณสุขไม่อนุญาตให้ใช้สารชนิดนี้เจือปนในอาหาร เพราะมีความเป็นพิษค่อนข้างสูง สารนี้หากสัมผัสผิวหนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง ถ้าบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสอาหาร เช่น  ปาก  ลำคอ  และกระเพาะอาหาร  หากกินเข้าไปมาก ๆ  จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง   เวียนศีรษะ  อาเจียน  อุจจาระร่วง   ความดันโลหิตลดต่ำลง แน่นหน้าอก    หายใจไม่สะดวก    หลอดลมหดตัว   ทำให้หอบหืด   ในผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่แล้วอาจช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้

ที่มา : คณาจารย์ ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร http://www.pharm.su.ac.th/cheminlife/cms/index.php/kitchen-room/7-sodium-hydrosulfite.html สืบค้น 1 มิ.ย. 2555

อ้างอิง
1) http://www.oatthailand.org/index.php/vegatable-organic/
2) สารานุกรมผัก (นิตยสารครัว) อ้างใน http://saya.exteen.com/20071025/entry
5) ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร http://www.pharm.su.ac.th/cheminlife/cms/index.php/kitchen-room/7-sodium-hydrosulfite.html