รุ่งทิพย์ สุขกำเนิด
ในยุคสมัยนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย จะหันไปทางไหนก็เห็นสิ่งของต่างๆที่ล้วนต้องใช้พลังงานในการผลิตหรือการใช้งานทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น
แอร์ รถยนต์ มือถือ แก้วน้ำ หรือแม้แต่ดินสอและไม้จิ้มฟัน
การใช้พลังงานที่มากขึ้นได้สร้างผลกระทบกับโลกของเรามากมาย
คำถามยอดฮิตของยุคก็คือ“แล้วเราจะมีส่วนลดการใช้พลังงานลงได้อย่างไร” และคำตอบคุ้นหูก็คือ“ปิดไฟ ใช้คาร์พูล หรือประหยัดด้วยวิธีต่างๆ” แต่เรื่องแบบนี้แก้กันยากเพราะเป็นนิสัยไปเสียแล้วต้องค่อยๆดัดกันไป
ทั้งไม้อ่อนไม้แก่ แต่เอ..จะมีทางอื่นที่ทำง่ายและได้ผลมากกว่านี้อีกไหมหนอ
จนสัปดาห์ก่อนได้มาสะดุดกับงานวิจัยของคุณจิรากรณ์(1)
เข้าพอดี งานชิ้นนี้เป็นการวิเคราะห์พลังงานที่ใช้ในการปลูกข้าวของชาวนาไทยด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม
(ใช้ปุ๋ยจากธรรมชาติและแรงงานสัตว์) เทียบกับการปลูกด้วยวิธีการสมัยใหม่่(2)
(ใช้เครื่องจักรกล ปุ๋ย สารเคมี) ลองอ่านๆดูแล้วคำนวณต่อนิดหน่อยและลองปั้นเป็นกราฟดู
โอ้ พระเจ้าช่วย! การจะผลิตข้าวเปลือกให้ได้ 1 กก.ด้วยวิธีการทันสมัยในปัจจุบันนั้นได้ใช้พลังงานมากกว่าวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมถึง 8 เท่า และที่แย่กว่านั้น การผลิตด้วยวิธีการสมัยใหม่ต้องใส่พลังงานลงไปมากถึง 11,715 กิโลแคลอรีเพื่อให้ได้ข้าวมา 4,000
กิโลแคลอรี (1 กก.) เรียกได้ว่า “ขาดทุนโดยไม่รู้ตัวจริงๆ”
หากลองมาเจาะดูที่วิธีการผลิตสมัยใหม่ จะพบว่าพลังงานที่ต้องใช้มากมายนั้นมาจากการเพิ่มขึ้นของปัจจัยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก
เช่น ปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรู และเครื่องจักรกลการเกษตรกับน้ำมันที่ใช้เติมเพื่อให้เครืองจักรทำงาน
และอีกส่วนมาจากพลังงานที่ได้จากธรรมชาติในที่นี้คือ การหมักฟาง
ในขณะที่การผลิตแบบดั้งเดิมซึ่งใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์และการพัดพามาของน้ำในฤดูฝน
ซึ่งส่วนนี้ได้หายไปหลังมีการสร้างเขื่อนและการเลิกใช้วัวควายในการไถนา
ถ้าลองตัดปัจจัยธรรมชาติของการผลิตแบบสมัยใหม่ออกไป
หรือเทียบได้กับการเผาฟางและตอซังข้าวที่อยู่ในนา เท่ากับว่าเราได้ทิ้งพลังงานที่ธรรมชาติมีให้ไปเปล่าๆ
ดังนั้นการจะผลิตข้าวให้ได้ 1 กก.เท่าเดิมก็ต้องเติมปัจจัยการผลิตจากภาคอุตสาหกรรมหรือปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นอีก
เท่ากับว่าในกระบวนการผลิตข้าวนั้น “จะยิ่งขาดทุนยับเยินเข้าไปอีก”
คราวนี้ลองมาตัดข้อมูลพลังงานพลังงานที่ใช้ในการผลิตข้าวที่มาจากภาคอุตสาหกรรมบางอย่าง
คือ ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชออกไป โดยให้อย่างอื่นเหมือนเดิม ซึ่งเปรียบได้กับการทำนาอินทรีย์ที่มีการหมักฟางผสมผสานกับวิธีการผลิตที่ใช้เครื่องจักรทันสมัย
พบว่าสามารถลดพลังงานที่ต้องใส่เข้าไปได้ถึง 50 %
ทีเดียว
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า วิธีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้วัวควาย
และอาศัยปุ๋ยจากธรรมชาติที่มากับน้ำหลาก เป็นวิธีการผลิตที่ได้กำไรมากที่สุด
เมื่อมองในมุมของพลังงานที่ใส่เข้าไปเมื่อเทียบกับพลังงานที่ผลิตได้ออกมาในรูปของข้าว แต่สิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถกลับคืนมาได้อีกแล้ว
ด้วยความที่เรามีเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งกั้นขวางตะกอนปุ๋ยธรรมชาติให้ตกอยู่หน้าเขื่อน
และค่าแรงทั้งวัวควายและคนก็มีราคาสูงขึ้น
การหันมาใช้เครื่องจักรการเกษตรเพื่อช่วยในการผลิตแทนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
อย่างไรก็ดี การเผาฟาง
แล้วไปซื้อปุ๋ยและสารเคมีมาใช้ ถือว่าเป็นการทำให้ประเทศชาติสูญเสียแบบ 4 เด้ง คือ
เด้งที่ 1 เผาฟางเท่ากับการเผาเงินทองหรือปุ๋ยจากธรรมชาติ ที่ได้มาฟรีๆ เด้งที่ 2 คือต้องเสียเงินไปซื้อปุ๋ย ยา เด้งที่ 3
การผลิตแบบใช้ปุ๋ยยาเต็มที่เหมือนในปัจจุบัน เมื่อเทียบเป็นพลังงานที่ใช้ไปกับที่ผลิตได้ถือว่าขาดทุน
และเด้งที่ 4 การเผาฟาง การผลิตปุ๋ย และสารเคมี ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเนื่องจากต้องใช้พลังงานที่หายากขึ้นเรื่อยๆและปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก
เมื่อหันกลับไปอยู่ในสภาพการผลิตแบบดั้งเดิมไม่่ได้
การผลิตแบบผสมผสานคือการใช้เครื่องจักรช่วยผ่อนแรงบวกกับวิธีการผลิตแบบอินทรีย์
(หมักฟาง) หรือกสิกรรมธรรมชาติ ย่อมมีความคุ้มค่ามากกว่าการผลิตแบบสมัยใหม่
เพราะมีความคุ้มค่าทางพลังงาน ลดภาวะโลกร้อน
และยังมีความปลอดภัยกับทั้งตัวผู้ผลิตเองและผู้บริโภคอีกด้วย
ในวงการเกษตรได้มีการพิสูจน์แล้วว่าพันธุ์ข้าวสมัยใหม่ที่ถูกปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมักจะถูกคัดเลือกจากคุณสมบัติเฉพาะกิจ
เช่น หนีน้ำ ต้านทานโรคใบไหม้ ฯลฯ แต่ที่สำคัญต้องให้ผลผลิตสูง
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองต่อปุ๋ยและสารเคมี ถ้าผนวกกับคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งด้วยแล้วคือ
ความต้องการของตลาด จึงทำให้ความหลากหลายทางสายพันธุ์ข้าวที่ยังคงเหลืออยู่ในท้องตลาดลดลง
และพันธุ์ข้าวจำนวนมากต้องสูญหายไปจากการผลิตของเกษตรกร ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สำหรับพันธุ์ข้าวที่ตอบสนองต่อกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์นั้นเกษตรกรผู้สนใจจะต้องปรับปรุงและคัดเลือกพันธุ์กันเอาเอง
เป็นที่น่ายินดีว่า
ความก้าวหน้าทางความรู้ของเกี่ยวกับกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์ได้พัฒนาและเผยแพร่ไปมาก จึงมีผู้หันมาทำนาอินทรีย์กันมากขึ้น(แต่ก็ยังไม่มากพอ)
และมีความพยายามที่จะรื้อฟื้นนำพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่เคยโด่งดังในอดีตให้กลับคืนมา
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะประสบความสำเร็จได้ เพราะพันธุ์ข้าวแต่ละชนิดก็เหมาะกับสภาพพื้นที่แต่ละแบบไม่เหมือนกัน เช่น
ข้าวพันธุ์สังข์หยดจะให้ผลผลิตดีและเหมาะสมที่จะปลูกที่ภาคใต้ แถวจังหวัดพัทลุง ข้าวหอมมะลิปลูกได้ผลดีก็ต้องแถวอิสานเหนือ แต่เกษตรกรก็สามารถที่จะนำพันธุ์ข้าวไปลองปลูกแล้วคัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ตนเองเพื่อใช้ขยายพันธุ์ต่อไปได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการทำให้สายพันธุ์มีความนิ่งหรือเรียกว่าเป็นสายพันธุ์แท้
ถึง 7 รอบการผลิต
ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่นอกจากจะไม่มีความรู้ในการคัดเลือกพันธุ์แล้ว ยังไม่มีทุนหนาพอที่จะลองเสี่ยงกับการคัดพันธุ์ใหม่ และที่สำคัญเมื่อผลิตได้มากๆแล้ว ไม่รู้จะไปขายให้ใครอีก สุดท้ายก็ต้องส่งโรงสีไปปนกับข้าวเคมีอยู่ดี
น่าเสียดายจริงๆ
จากการสืบค้นข้อมูลเรื่องพันธุ์ข้าว
ทำให้ทราบว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เราเรียกว่า “ข้าว” นั้น
มีความแตกต่างกันมากทีเดียว ความแตกต่างของ “พันธุ์”
ซึ่งส่งผลให้เนื้อสัมผัส (แข็ง-นุ่ม) และกลิ่นที่ต่างกัน พันธุ์ยังส่งผลต่ออายุการปลูกและช่วงเวลาที่ปลูกด้วย
เช่น ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวหนักแบบไวแสง คือต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ 6 เดือน
และจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว ดังนั้น หากปีไหนภาคอิสานมีฝนล่าช้า ปีนั้นผลผลิตข้าวก็จะไม่ดี เนื่องจากต้นข้าวยังไม่เติบโตเพียงพอก็ถึงเวลาที่ต้องออกดอกเสียแล้ว
(นาภาคอิสานส่วนใหญ่มีเฉพาะนาน้ำฝนหรือนาปีเท่านั้น)
ส่วนข้าวพันธุ์
กข.ต่างๆที่คิดค้นโดยนักวิชาการเกษตรและเป็นที่นิยมปลูกของเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยเฉพาะภาคกลาง จะเป็นข้าวที่ไม่ไวแสง คือ
พอปลูกครบอายุก็จะออกดอกติดเมล็ดพร้อมเก็บเกี่ยว โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน
ขอเพียงมีน้ำ ก็สามารถเพาะปลูกในรอบต่อไปได้เลยทันที
ดังนั้นในพื้นที่ชลประทานภาคกลางจึงนิยมปลูกข้าวพันธุ์ กข.แบบไม่ไวแสง
เพราะสามารถปลูกได้ปีละ 2-3 ครั้ง แม้ราคาต่อเกวียนจะถูกกว่าแต่เมื่อเทียบรายได้ต่อปีแล้วถือว่ามีรายได้สูงกว่ากันมาก
โดยประมาณ
|
ข้าวหอมมะลิ
|
ข้าว กข.
|
ราคาที่ความชื้น 14% (บาท/เกวียน)**
|
15,000
|
8,500-10,000
|
จำนวนรอบการผลิตต่อปี
|
1
|
2
|
ผลผลิตต่อไร่ต่อรอบการผลิต
(เกวียน)
|
0.3-0.5
|
1
|
รายๆได้ต่อไร่ต่อปี
(ยังไม่ได้หักต้นทุน)
|
4,500-7,500
|
17,000-20,000
|
**
ปกติชาวนาจะขายข้าวหลังเก็บเกี่ยวทันทีที่หน้านา
ซึ่งข้าวยังมีความชื้นสูงอยู่ที่ประมาณ 25%
ทำให้ราคาที่ได้รับต่ำลงไปอีก
นอกจากนี้สิ่งที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยทราบก็คือ
พันธุ์ข้าวยังส่งผลถึงองค์ประกอบในเมล็ดซึ่งจะส่งผลถึงคุณค่าทางอาหารที่มีให้อีกด้วย เมล็ดข้าวสารที่ขายในท้องตลาด
นอกจากจะประกอบไปด้วยเนื้อข้าว จมูกข้าว
และรำข้าวซึ่งมีมากน้อยต่างกันไปตามการขัดสีให้เป็นข้าวสาร และข้าวกล้องแล้ว
ในข้าวแต่ละพันธุ์ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกัน เช่น ข้าวพันธุ์หน่วยเขือ ซึ่งเป็นข้าวพื้นบ้านของจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าเป็นข้าวที่มีธาตุเหล็ก(3)
ทองแดง(4) และวิตามินอี(5) สูงมาก (ดูตาราง)
และเป็นที่โชคดีที่ข้าวพันธุ์หอมมะลิและและหอมมะลิแดง
ซึ่งยังหาได้ไม่ยากในท้องตลาดก็มีสารอาหารข้างต้นไม่แพ้กันเท่าไหร่ แถมยังมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการส่งเสริมให้ผู้บริโภคที่อยู่ในภาวะปกติ
ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รับประทาน (ข้าวกล้องหอมมะลิแดง) เนื่องจากเมื่อรับประทานข้าวชนิดนี้เข้าไปแล้ว
ร่างกายจะมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าข้าวเจ้าทั่วไป
จากข้อมูลเรื่องข้าวที่มีอยู่ ที่บ้านเราจึงเลือกทานข้าวพื้นเมือง เช่น
ข้าวหอมมะลิแดง หอมมะลิ ข้าวสังข์หยด
และข้าวพื้นเมืองอื่นๆถ้ามีโอกาส โดยเฉพาะที่เป็นข้าวกล้อง(แม้เด็กๆจะไม่ชอบเท่าไรในตอนแรก
แต่ทานไปเรื่อยๆก็จะเคยชิน) และถ้าข้าวนั้นมาจากระบวนการผลิตแบบอินทรีย์จะยิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เพราะนอกจากจะได้ช่วยรักษาพันธุ์ข้าวดีๆ มีคุณภาพไม่ให้สูญหายไปแล้ว ยังได้ช่วยชาวนาที่ดีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราไม่ต้องซื้อปุ๋ยซื้อยาจากต่างประเทศ ช่วยรักษาโลกนี้ให้มีมลพิษน้อยลง และน่าจะได้ช่วยให้อะไรๆหลายอย่างให้ยังคงอยู่คู่กับแหลมทองของไทยไปอีกนาน
นอกจากการเลือกทานข้าวอินทรีย์แล้ว
ที่บ้านเรายังสนับสนุนผู้ผลิตด้วยการแนะนำและแบ่งปันข้าวหอมมะลิอินทรีย์
ข้าวดีทานอร่อยที่ได้จากพื้นที่ที่ทำงานเพื่อส่งเสริมการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ
(จ.สระแก้ว)ให้กับเพื่อนๆที่สนใจด้วย
ถึงตรงนี้คงเห็นคำตอบแล้วใช่ไหมคะว่า “ข้าวอะไรเอ๋ย
ปลูกแล้วฉลาด” ขนาดปลูกยังฉลาดเลย
แล้วถ้ากินหล่ะ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ แล้วคุณหล่ะ
กินข้าวอินทรีย์พื้นเมืองแล้วหรือยัง !
คุณค่าทางโภชนาการของข้าวกล้องพื้นบ้านเปรียบเทียบกับข้าวกล้องทั่วไป(6)
(วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล)
(วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล)
ชื่อพันธุ์
|
คุณค่าทางโภชนาการ
(หน่วย :มิลลิกรัม/100
กรัม)
|
||||
เหล็ก
|
ทองแดง
|
เบต้าแคโรทีน
|
ลูทีน
|
วิตามินอี
|
|
ค่าเฉลี่ยข้าวทั่วไป
|
0.42
|
0.1
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
0.03
|
หน่วยเขือ
- นครศรีธรรมราช
|
1.22
|
0.5
|
0.0052
|
0.0144
|
0.7873
|
ก่ำเปลือกดำ
- ยโสธร
|
0.95
|
0.08
|
0.0118
|
0.2401
|
0.1946
|
หอมมะลิแดง
- ยโสธร
|
1.2
|
0.43
|
0.003
|
0.0091
|
0.3366
|
หอมมะลิ
- ทุ่งกุลาร้องไห้
|
1.02
|
ไม่พบ
|
0.0031
|
0.0095
|
0.3766
|
เล้าแตก
- กาฬสินธุ์
|
0.91
|
0.06
|
0.0049
|
0.0085
|
0.3092
|
หอมทุ่ง*
- อุบลราชธานี
|
0.26
|
0.38
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
0.0118
|
ป้องแอ๊ว*
- มหาสารคาม
|
0.24
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
0.0089
|
ช่อขิง
- สงขลา
|
0.8
|
ไม่พบ
|
0.0041
|
0.0103
|
0.1788
|
มันเป็ด*
- อุบล
|
0.2
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
0.0045
|
0.026
|
ปกาอำปึล*
- สุรินทร์
|
0.46
|
ไม่พบ
|
ไม่พบ
|
0.0036
|
0.0226
|
หมายเหตุ:
*ข้าวขัดขาว
อ้างอิง
(1)
Jiragon Gajaseni , 1994 “Energy analysis of wetland rice
systems in Thailand”
(2)
ข้อมูลการผลิตข้าวปี 2515และ 2534/35 บางชัน
มีนบุรี กทม.(ใช้ในการทำข้อมูลเปรียบเทียบกับงานวิจัยที่อ้างอิงในข้อ
(1))
(3)
ธาตุเหล็ก
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการสร้างเม็ดเลือดแดง
ซึ่งมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย และการเจริญเติบโต
องค์การอนามัยโลกพบว่าประชากรโลกทั้งในประเทศที่พัฒนาและกำลังพัฒนามีสถิติการเกิดโรคโลหิตจางมากกว่า
4 พันล้านคน คิดเป็นร้อยละ 66
ของประชากรชาวโลกทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยจากการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข
พบว่ามีการขาดธาตุเหล็กในกลุ่มเด็กวัยเรียนและหญิงวัยเจริญพันธุ์ร้อยละ 25.2
และ 22.3 ตามลำดับ
(4)
ทองแดง (copper) เป็นสารอาหารที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง
เนื่องจากเป็นส่วนประกอบในเอนไซม์หลายตัวในร่างกาย เช่น
การสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย การกำจัดอนุมูลอิสระ การสร้างความยืดหยุ่น
ของผิวหนัง (Collagen และ Elastin) การขาดทองแดงก่อให้เกิดภาวะซีดจากโลหิตจาง
เม็ดเลือดขาวมีมากเม็ดเลือดแดงลดลง
โคลเลสเตอรอลในเลือดสูงและการเต้นของหัวใจผิดปกติ
(5)
วิตามินอีเป็นสารแอนติออกซิแดนท์
ช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด
ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด
สมอง หัวใจ บำรุงตับ ช่วยระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท
และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดริ้วรอย
และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น เป็นต้น
(6)
มหัศจรรย์
พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน "คุณค่าทางโภชนาการของสายพันธุ์ข้าวท้องถิ่น" โดยแผนงานฐานทรัพยากรอาหาร http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=889
ขอบคุณภาพจาก
(4)
ทุ่งแสงตะวัน
(5)
วิชาการดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น