รุ่งทิพย์  สุขกำเนิด
เคยไหมที่ทำอะไรก็เพื่อคนอื่น  ตั้งใจเรียนก็เพื่อแม่  ขยันทำงานก็เพื่อลูก  แต่งตัวสวยก็เพื่อให้คนอื่นมอง  แล้วเคยทำอะไรเพื่อตัวเองกันบ้างไหม  วันนี้ เราขอเชิญชวนคุณมา “ทำอะไรเพื่อตัวเอง”
ดูกันบ้าง  เจ้า ”อะไร”  ที่ว่าเนี่ย จะทำให้คุณเองเป็นคนที่ สวย ฉลาด แข็งแรง
คล่องแคล่ว และพร้อมจะทำอะไรๆ เพื่อคนอื่นได้อีกนานเลย
            เจ้าอะไรที่ว่าก็คือ
“การออกกำลังกาย” นั่นเอง 
ไม่ยากใช่เปล่า  แต่รู้ไหมเรามักได้ยินคำพูดนี้เสมอ
“ไม่ค่อยมีเวลา , เหนื่อย , ไว้ก่อน , ทำงานหนักได้เหงื่ออยู่แล้ว.....ฯลฯ”  ซึ่งผลการสำรวจของอัตราการออกกำลังกายของคนไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ปี 2550 (ตารางที่ 1)  ก็สอดคล้องกับพฤติกรรมของน้องๆที่ออฟฟิตซึ่งส่วนใหญ่
สังกัดช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เข้าวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ก็เห็นคว้าน้ำเหลวกันหลายรอบเลยค่ะ
สังเกตได้จากอุปกรณ์กีฬาที่ซื้อๆกันมา ไม่ว่าจะเป็นไม้แบต รองเท้าวิ่ง
ชุดว่ายน้ำ  ฮูลาฮุก ฯลฯ เฮ้ย
ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป มีหวังได้ใช้เงินเก็บเพื่อรักษาตนเองแน่นอน
ผลสำรวจอัตราการออกกำลังกายของประชากรอายุ 11
ปีขึ้นไป ใน
2550 
โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ [1]
อายุ (ปี) 
 | 
  
ร้อยละของประชากร 
 | 
 
11-14 
 | 
  
73 
 | 
 
15-24 
 | 
  
45 
 | 
 
25-59 
 | 
  
20 
 | 
 
60 ปีขึ้นไป 
 | 
  
28 
 | 
 
            ประมาณ 10
ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขพยายามเชิญชวนให้คนรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย
แทนการซ่อมสุขภาพเมื่อเจ็บป่วย เพื่อลดรายจ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศ  เช่นเดียวกับที่ สสส. โหมโฆษณาให้คนออกกำลังกายกันมากขึ้นภายใต้สโลแกน
 “แค่ขยับ เท่ากับออกกำลังกาย”  แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่า “แค่ขยับจริงหรือ ?”
อันที่จริง เขาต้องการสื่อว่า
การเคลื่อนไหวออกแรงแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีประโยชน์แล้ว
แต่ยิ่งออกกำลังกายมากจะยิ่งเกิดประโยชน์มากขึ้น 
โดยการเคลื่อนไหวที่ดีควรต้องเกิดจากการทำงานของร่ายกายโดยใช้กล้ามเนื้อโครงสร้าง
และทำให้มีการใช้พลังงานของร่ายกายมากกว่าขณะพัก 
ดังนั้น การเคลื่อนไหวในอิริยาบทไหนๆก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่ง
เช่นเดียวกับการออกกำลังเคลื่อนไหวร่างกายที่มีการวางแผนหรือมีแบบแผนของกิจกรรมที่กระทำซ้ำๆหรือสม่ำเสมอ  (เช่น วิ่ง) ดังนั้น ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันได
ล้างรถ กวาดสนาม ล้วนได้ออกกำลังกายทั้งสิ้น [2] 
| กระติ๊บกับงานศิลปะบนสนามและออกกำลังกายไปพร้อมกัน | 
            แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์การกีฬาแล้ว
การออกกำลังกายที่ดีจะต้องทำให้เกิดทั้งสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ
และสมรรถภาพทางกายเพื่อทักษะ [3]
สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ คือ
ความสามารถของร่ายกายในการที่จะทำให้บุคคลมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากการออกกำลังกาย
ประกอบไปด้วย ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ  ความแข็งแรงและอดทนของกล้ามเนื้อ  ความอ่อนตัว 
และส่วนประกอบของร่างกาย
สมรรถภาพทางกายเพื่อทักษะ หมายถึง
ความสามารถของร่างกายที่ช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมทางกายได้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเล่นกีฬา มีองค์ประกอบ 6 ด้าน คือ ความคล่องแคล่วว่องไว  ความสมดุล 
การประสานสัมพันธ์  การทรงตัว  พลังกล้ามเนื้อ  และปฏิกิริยาตอบสนอง
ความอดทนของระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจคือทำกิจกรรมได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยปราศจากความเหน็ดเหนื่อย  สามารถทดสอบความอดทนโดย การวิ่งระยะทาง 1 กม.
ความแข็งแรงและอดทนของกล้ามเนื้อ
จะช่วยทำให้สามารถประกอบกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น
สามารถทดสอบได้โดย ใช้วิธีลุกนั่ง  (Sit-up)
เพื่อทดสอบความอดทนของกล้ามเนื้อท้อง
ความอ่อนตัว
คือการที่กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆภายในร่างกายที่เคลื่อนไหวยืดเหยียดและโค้งงอได้มากที่สุด
โดยไม่เกิดอาการเจ็บปวด การทดสอบสามารถทำได้โดย การนั่งงอไปข้างหน้า
การวัดส่วนประกอบของร่างกาย
เพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักกับส่วนสูง แล้วนำไปเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน
หรือที่เรียกว่าการทดสอบค่าดัชนีมวลกาย (BMI :Body mass index)
ดังนั้น การออกกำลังกายที่ถูกวิธีและถูกขั้นตอนจะช่วยทำให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น  หรือที่เรียกว่า “FITT”  เกิดขึ้น  ไม่ใช่ฟิตแบบใส่เสื้อผ้าตัวเล็กๆนะคะ
แต่หมายความว่าต้องเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสม  ซึ่งคำว่า FITT ก็ย่อมากจาก
Frequency Intensity Time และ Type
ซึ่งหมายถึงการออกกำลังกายที่ดีจะต้องมีความถี่พอสมควร
มีความหนักหน่วงเพียงพอ  มีระยะเวลาพอเหมาะ
ขึ้นกับประเภทของกีฬานั้นด้วย 
Frequency 
 | 
  
ความถี่หรือความบ่อยของการออกกำลังกาย
  ควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ 
 | 
 
Intensity 
 | 
  
ความหนักในการออกกำลังกาย
  ขึ้นกับอายุและเป้าหมายในการออกกำลังกาย โดยคิดเป็นสัดส่วนของอัตราการของหัวใจสูงสุด 
-อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด = 220-อายุ (ปี) = จำนวนครั้ง/นาที (100%) 
-ออกกำลังกายช่วงการเผาผลาญไขมัน  ความเหนื่อยที่ 55-60 % ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด 
-ช่วงเพิ่มสมรรถภาพหัวใจ
  ความเหนื่อยต่ำสุดและสูงสุดอยู่ที่ 65-85 % ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด 
 | 
 
Time 
 | 
  
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะต้องมีเวลาที่เพียงพอจึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
  ซึ่งระยะเวลาของการออกกำลังกายขึ้นกับรูปแบบของการออกกำลังกาย
  โดยทั่วไประยะเวลาที่สามารถพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจอยู่ที่ประมาณ 10
  นาทีขึ้นไป 
 | 
 
Type 
 | 
  
ชนิดหรือประเภทของกิจกรรมที่เลือกในการออกกำลังกาย
  เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ 
 | 
 
            คงไม่ต้องมาถกเถียงกันให้ปวดหัวใจ
เพราะไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหนล้วนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น  อย่างไรก็ดี งานวิจัยจากสวีเดนซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์
และมหาวิทยาลัยจอร์เจียสหรัฐอเมริการะบุว่า  การออกกำลังกายมีผลทำให้สมองเจริญเติบโต  โดยในขณะที่ออกกำลังกายสมองจะหลั่งสารบางอย่างออกมา
ส่งผลให้เซลล์ประสาทแข็งแรงกว่าเดิม  และสมองทำงานดีขึ้น  ซึ่งส่งผลต่อการมีสมาธิและผลการเรียนของเด็กๆ  รวมถึงไอคิว แต่ทั้งนี้
การออกกำลังกายที่ทำให้ชีพจรเต้นแรงจะให้ประสิทธิผลมากกว่าการออกแรง (เช่น วิ่ง
ดีกว่ายกน้ำหนัก)[4]
            นอกจากนี้
การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วประมาณ ร้อยละ 60-75 ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจในผู้สูงอายุ
จะทำให้ยีนในเซลประสาทมีการทำงานและหลั่งสาร BDNF (brain derived neurotrophic factor) ซึ่งมีส่วนทำให้สมองส่วนฮิปโปแคมปัสใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ความจำดีขึ้น  และการออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันคราบพลัก(ชิ้นส่วนโปรตีนที่เกาะตัวกันเป็นกลุ่มๆ)ที่จะมาก่อตัวบนเซลประสาทซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย
           อย่างไรก็ดี แพทย์จากมลรัฐวิสคอนซินสหรัฐอเมริการะบุว่า
หลังอายุ 30 ปีไปแล้วคนเราจะมีพลังลดลงร้อยละ 1 หรือเมื่ออายุ 60 ปี พลังของเราจะลดลงร้อยละ  30 ของขณะที่อายุ 30 ปี
ดังนั้นหากยิ่งขาดการเคลื่อนไหวในวัยหนุ่มสาวจะยิ่งทำให้พลังช่วงบั้นปลายมีสะสมน้อยลง
แต่สำหรับผู้ที่เลยวัย 30 ไปแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจ
เพราะไม่มีอะไรที่สายเกินไปสำหรับคนที่ตั้งใจเปลี่ยนแปลง 
           มาถึงตรงนี้
ผู้อ่านคงเห็นความสำคัญของ “การทำอะไรเพื่อตัวเอง” ด้วยการ “ออกกำลังกาย” ขึ้นบ้าง
จะเลือกวิธีไหนก็สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองทั้งนั้น อยากได้งาน ได้กล้ามเนื้อ
หรือได้สมองก็เลือกได้ จะเลือกวิธีเดียวหรือผสมผสานกันหลายวิธีก็(อร่อย)ดีไปอีกแบบ
คล้ายๆคอกเทล   แต่ที่แน่ๆ และสำคัญกว่า “การเลือกวิธีไหน”
ก็คือ ต้องเลือก “เริ่มทำตั้งแต่วันนี้” จะดีที่สุด เพราะเวลาของเราทุกคนเหลือน้อยลงทุกวัน
| เสื้อขาวลดไขมัน เสื้อเขียวเพิ่มมันสมอง | 
[1]
สำนักงานสถิติแห่งชาติ
“การสำรวจพฤติกรรมการออกกำลังกายของประชากรปี 2550 http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/survey/excercise50.pdf
[2]
โครงการพัฒนาเครือข่ายระดับสากลของ
แผนส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ, สสส . “ขยับ กระฉับกระเฉง
เพื่อสุขภาพที่ดี”
[3]
กิตติ
ปรมัตถผล และคณะ , 2552 
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น