บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กระดาษหน้าที่ 4



รุ่งทิพย์  สุขกำเนิด

กว่า 5,000 ปีมาแล้วที่มนุษยชาติได้เรียนรู้และพัฒนาการผลิตกระดาษอย่างต่อเนื่อง  กระดาษจึงนับว่าเป็นสินค้าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเพราะว่าครองใจผู้ใช้มาตลอด และมีแนวโน้มที่จะใช้งานในรูปแบบที่หลากหลายและในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ  แต่เราหารู้ไม่ว่า  ในความต้องการใช้นั้น เรากลับต้องแลกมาด้วยปัญหาจากการผลิตและการใช้ที่มากขึ้น  จะดีกว่ามั๊ย หากเรามาทำความรู้จักกระดาษให้มากขึ้น เพื่อที่จะเรียนรู้การใช้งานมันอย่างคุ้มค่าและสร้างปัญหาให้น้อยลง
         
         ถ้าไม่นับปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต กระดาษน่าจะจัดเป็นสิ่งประดิษฐ์ 1 ใน 5 ที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตประจำประวันของมนุษย์เรามากที่สุด  เราใช้กระดาษทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กระดาษชำระ หนังสือพิมพ์ กระดาษเขียน บรรจุภัณฑ์ วัสดุเพื่อการตกแต่ง  กันกระแทก กันเสียงสะท้อน หรือแม้แต่การมวนบุหรี่  และเพื่อการแลกเปลี่ยน
         
         กระดาษที่เราใช้กันในปัจจุบันมีรูปร่างหน้าตาและวิธีการผลิตที่ต่างจากอดีตเมื่อครั้งเริ่มต้นอย่างมาก  มีการบันทึกว่าชาวอียิปต์ได้ใช้ต้นกกชนิดหนึ่งในการผลิตวัสดุสำหรับใช้เขียนเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อนโดยเรียกมันว่า Papyrus ซึ่งเป็นที่มาของรากศัพท์ของคำว่า Paper ที่ใช้กันในปัจจุบัน ส่วนคำว่า “กระดาษ” ไม่ใช่คำไทย แต่สันนิษฐานว่าเป็นคำที่แปลงมาจากภาษาโปรตุเกสว่า Cartas เข้าใจว่าโปรตุเกสคงเป็นผู้นำกระดาษแบบฝรั่งเข้ามาพวกแรกในสมัยอยุธยา คำว่ากระดาษจึงมีใช้ติดปากมาตั้งแต่สมัยนั้น1  ถ้าเป็นดั่งนั้นก็ต้องขอบคุณชาวโปรตุเกสไว้ ณ ที่นี้ ที่ทำให้การบันทึกเรื่องราวในอดีตของไทยทำได้ง่ายขึ้นจากการที่ต้องบันทึกลงในแผ่นหินและฝาผนัง

วิธีการทำ Papyrus ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนนักแค่นำต้นกกฝานจนเป็นแผ่นบางแล้วนำมาเรียงขวางสลับกันอย่างเป็นระเบียบและนำมาบทอัดจนแน่นพร้อมทั้งทำให้แห้งโดยการตากแดด ต่อมาได้มีการพัฒนาการผลิตกระดาษขึ้นซึ่งเป็นต้นตำรับที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ โดยนักประดิษฐ์ชาวจีนซึ่งได้นำเศษแหเก่าๆ เศษผ้าขี้ริ้ว ตลอดจนเศษพืช นำมาต้มและทุบให้เปื่อย เมื่อนำมารวมกับน้ำก็จะเป็นเยื่อกระดาษ (Pulp) นำเยื่อกระดาษ ดังกล่าวมาเกลี่ยบนตระแกรงตามแนวนอนปล่อยให้น้ำไหลออกจากตระแกรงแล้วนำมาบทอัดให้แห้ง  ซึ่งเส้นใยที่ได้จะถูกวางอย่างไม่เป็นระเบียบ จึงมีผลทำให้กระดาษที่ได้มีความเหนียวกว่า2

ในปัจจุบันกระบวนการผลิตกระดาษได้มีความรุดหน้าไปมาก มีการใช้เครื่องจักรและวิธีการผลิตที่ทันสมัย และผลิตกระดาษได้หลายรูปแบบ และสีสันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน และมีการเติมสารอื่นๆ อีกหลายอย่าง  เช่น "ผงแร่สีขาว" เพื่อให้กระดาษเรียบขึ้น ผิวขาวสว่างขึ้น , "สารต้านการซึมน้ำ" ทำให้กระดาษไม่เปียกน้ำได้ง่าย, เติม "แป้ง" เพิ่มความเหนียวของกระดาษ และสารเคมีอื่นๆ อีกหลายชนิด เพื่อให้ได้กระดาษมีคุณสมบัติตามที่ต้องการ  โดยส่วนประกอบหลักของกระดาษจะเป็นส่วนที่เป็นเส้นใยหรือเรียกกันว่า "เยื่อกระดาษ" ประมาณร้อยละ 70-95 แล้วแต่ชนิดของกระดาษ  ซึ่งเยื่อกระดาษจะประกอบด้วยเยื่อ 2 ชนิด คือ "เยื่อใยยาว" มีลักษณะหยาบ มีความแข็งแรงสูง ทำมาจากเนื้อไม้อ่อนเมืองหนาว ได้แก่ ไม้พวกสน และสปรูซ ซึ่งต้องนำเข้าจากเมืองนอก ส่วนเยื่อกระดาษอีกชนิดหนึ่งคือ "เยื่อใยสั้น" มีลักษณะละเอียด ไม่แข็งแรง แต่ทำให้กระดาษแน่น เรียบ ทำมาจากไม้เนื้อแข็งเมืองร้อน เช่น ยูคาลิปตัส กระถินเทพา เบิร์ช แอสเพน เป็นต้น 3


ในกระบวนการผลิตกระดาษนั้นมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่ 5 ขั้นตอนใหญ่ คือ การผลิตเยื่อ (pulping) การเตรียมน้ำเยื่อ (stock preparation) การทำแผ่นกระดาษ (papermaking)  การปรับปรุงคุณสมบัติกระดาษขณะเดินแผ่น (web modification)  และการแปรรูป (converting)  ซึ่งในแต่ละขั้นตอนก็จะมีหลายวิธีในการผลิตขึ้นกับเป้าหมายการผลิตนั้น  เช่น  การผลิตเยื่อ เป็นการแยกเส้นใยออกมาจากองค์ประกอบอื่นของไม้ ทำได้ทั้งโดยวิธีเคมีและเชิงกล  เส้นใยที่ได้จะมีคุณสมบัติต่างกัน ทั้งความยาว ความนุ่ม สี และความสมบูรณ์ของเส้นใย  การฟอกเยื่อ (bleaching) เป็นการทำให้เยื่อมีสีขาวเหมาะกับการใช้กระดาษเพื่อการสื่อสารต่างๆ แบ่งเป็น 2 วิธี คือ  วิธีฟอกเยื่อเพื่อขจัดลิกนินออก (removing lignin) และ วิธีฟอกเยื่อเพื่อเปลี่ยนสีของลิกนินให้อยู่ในรูปไม่มีสี (bleaching lignin) ขั้นตอนนี้จะมีการใช้สารเคมีเพื่อทำปฏิกิริยากับลิกนินแล้วกำจัดลิกนินออก4 สารเคมีหลักที่ใช้ คือ คลอรีน และซัลเฟอร์ เป็นต้น

จะเห็นว่าไม่ว่ากระบวนการผลิตจะพัฒนาไปเพียงใด  ในการผลิตกระดาษยังจำเป็นที่จะต้องใช้เยื่อกระดาษซึ่งได้จาก “ไม้” เป็นองค์ประกอบหลัก  จำเป็นต้องใช้ “พลังงาน” ในทุกขั้นตอนการผลิต  จำเป็นต้องใช้  “น้ำ” อย่างมากโดยเฉพาะการผลิต 2 ขั้นแรก  อีกทั้งยังจำเป็นต้องใช้สารเคมีอีกหลายชนิดในขั้นตอนต่างๆ เช่น ฟอกขาว และขจัดลิกนิน เป็นต้น
         
        ไม่เพียงแต่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น ในอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อและกระดาษยังมีการปล่อยมลพิษสู่อากาศจำนวนมากจากแต่ละขั้นตอนการผลิต ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากกระบวนการ chemical recovery ในการผลิตเยื่อ  กระบวนการซัลเฟต กระบวนการโซดา กระบวนการซัลไฟล์ และอีกหลายขั้นตอน นอกจากนี้ยังเกิดกลิ่นพวก reduced sulphur compound รวมถึงมีการปล่อยก๊าซคลอรีนหรือคลอรีนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เมอร์แคปแทน และไนโตรเจนไดออกไซด์อีกด้วย  รวมถึงมีมลพิษที่เกิดจากน้ำทิ้ง และกากของเสียอีกจำนวนมาก
          
         มลพิษที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ยังไม่รวมเสียง ฝุ่น ของเสียที่ไม่เป็นอันตราย และมลพิษทางอ้อมที่เกิดจากการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระดาษ เช่น มลพิษจากการผลิตไฟฟ้าป้อนโรงงานกระดาษ เป็นต้น 


สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้ประมาณการว่า ในการผลิตกระดาษ 1 ตัน  ใช้ต้นไม้ 17 ต้น .ใช้ไฟฟ้า 4,100 kw/hr  และยังใช้น้ำอีก 31,500 ลิตร ( เทียบเท่าน้ำถังใหญ่ ที่นิยมใช้ตามบ้านในกรุงเทพ ฯ 31 ถังครึ่ง)
*     คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมา
การผลิตกระแสไฟฟ้า 1 kw/hr  จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.7 กก.ดังนั้นผลิตกระดาษ 1 ตัน ปล่อยก๊าซนี้ถึง 2.87 ตัน แต่ประเทศไทยมีความต้องการกระดาษทุกชนิดรวมกันประมาณ 3.25 ล้านตันต่อปี เท่ากับต้องมีการปล่อยก๊าซประมาณ 9.33 ล้านตันต่อปีทีเดียว
*     ตัวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่หายไป
            การผลิตกระดาษ 3.25 ล้านตัน ต้องใช้ต้นไม้ทั้งหมด 55.25 ล้านต้น โดยต้นไม้ 1 ต้นจะช่วยเฉลี่ยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง ปีละ 15 กิโลกรัม เท่ากับว่าในแต่ละปี ความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จะลดลงถึง 828.75 ล้าน กก. หากไม่มีการปลูกต้นไม้ทดแทน



         อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตกระดาษสามารถที่จะลดการใช้ทรัพยากรและมลพิษลงด้วยการใช้เยื่อที่ได้จากเศษกระดาษที่ใช้แล้วมารีไซเคิล ซึ่งเยื่อประเภทนี้ นอกจากจะเป็นการลดการตัดต้นไม้ลงแล้ว ยังลดการใช้พลังงานจากการบดเยื่อและลดการใช้น้ำลงอีกด้วย  ปัจจุบันโรงงานผลิตกระดาษมีความต้องการเศษกระดาษปีละ 2.5 ล้านตัน แต่สามารถหาเศษกระดาษภายในประเทศมาป้อนได้ไม่ถึงร้อยละ 50 ที่เหลือต้องนำเข้าเศษกระดาษจากต่างประเทศ ปีละกว่า 1 ล้านตัน4  ทั้งๆที่มีขยะกระดาษภายในประเทศเหลือเฟือ  ดังนั้น เราผู้ใช้กระดาษควรจะต้องช่วยกันแยกและส่งกระดาษกลับเข้าไปสู่กระบวนการรีไซเคิลด้วย

รู้หรือไม่ ......ว่าในการผลิตกระดาษจากเยื่อรีไซเคิล 1 ตัน จะช่วย...
1.ลดการตัดต้นไม้ 17 ต้น
          2.ลดการใช้น้ำในการปลูก 26.5 ลูกบาศก์เมตร
          3.ลดการใช้พลังงาน ร้อยละ 50 
          4.ลดการใช้น้ำในการผลิต ร้อยละ 35



        ไม่ใช่จะมีแต่ผู้ผลิตกระดาษที่เป็นผู้สร้างมลพิษ พวกเราผู้ใช้ก็เป็นอีกแหล่งที่ก่อมลพิษจากกระดาษเช่นกัน  พบว่าในกองขยะทั่วไป หากไม่นับขยะอินทรีย์แล้ว  กระดาษถือเป็นขยะประเภทที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ที่มีสัดส่วนมากที่สุด หรือมีปริมาณถึง 19% (ที่เหลือเป็นพวกพลาสติก 13%  แก้ว 8% โลหะ 5%) หากคิดปริมาณขยะกระดาษทั้งประเทศจะมีจำนวนถึง 2.47 ล้านตัน/ปีทีเดียว  ทั้งนี้ยังไม่มีตัวเลขว่าในบรรดาขยะกระดาษทั้งหมด มีการใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆ กี่เปอร์เซนต์
            
             ดังนั้น จะดีกว่ามั๊ยถ้าเราจะหันมาใส่ใจกับการใช้กระดาษกันสักนิด แนวทางการใช้ให้คุ้มค่าก็ไม่ยากอะไร แค่ใช้กระดาษให้ครบทั้ง 2 หน้า แต่หากจะใช้ให้ได้ 3 หน้า  4 หน้า หรือมากกว่านั้นจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ บางคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ กระดาษเท่าที่เห็นก็มีแค่ 2 หน้านี่นา แล้วหน้าที่ 3 และ 4 มาจากไหน  ลองพลิกดูดีๆสิค่ะ มันมีจริงๆ
           
            คุณยายร้าน K2N ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องเขียน จะใช้เวลาว่างแปรรูปหนังสือพิมพ์  โดยเฉพาะส่วนที่เป็นกระดาษมันซึ่งขายไม่ค่อยได้ราคา ให้เป็นถุงใส่ของให้ลูกค้า ซึ่งนอกจากจะแข็งแรงแล้ว ยังประหยัดสตางค์ด้วย ซึ่งเป็นการใช้กระดาษหน้าที่ 3 อย่างคุ้มค่าจริงๆ

คุณยายร้าน K2N กับถุงจากกระดาษหน้าที่ 3 ทำเอง นอกจากจะทำให้เกิดการใช้กระดาษอย่างคุ้มค่าแล้วและยังเป็นการบริหารสมองและกล้ามเนื้อมือด้วย
            
             สำหรับคนที่ใช้กระดาษ 2 หน้าแล้ว 2 แต่ไม่รู้จะใช้หน้าที่ 3 อย่างไรดี ขอแนะนำให้ส่งไปให้คนพิการทางสายตา ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษสีขาวที่ยังไม่ได้เขียน ขอแค่กระดาษใช้แล้ว 2 หน้าที่ไม่ยับและไม่มีแมกซ์เท่านั้น5 แค่นี้กระดาษหน้าที่ 3 ของคุณก็จะได้ใช้ประโยชน์และได้บุญอีกด้วย
           
            น้องแดนก็ชอบใช้กระดาษหน้าที่ 3 เพื่อการประดิษฐ์ค่ะ เขาประดิษฐ์ของเล่นมากมาย ตัดกระดาษเป็นลวดลายต่างๆ รวมถึงพับจรวดมากกว่า 50 แบบตามจินตนาการ เป็นการเพิ่มทักษะทางมือและเพิ่มการใช้สมองทั้ง 2 ซีก

           
สำหรับพี่กระติ๊บก็เป็นนักประดิษฐ์งานศิลปะเช่นกัน เขาจะใช้กระดาษหน้าที่ 3 ของน้อง ไปทำงานศิลปะอีกทีหนึ่ง ดังนั้นกระดาษบ้านเราจึงใช้ได้ถึง 4 หน้าเลยทีเดียว

    แล้วคุณหล่ะคะ ลองใช้กระดาษหน้าที่ 3 และ 4 ทำอะไรกันบ้าง ถ้ามีไอเดียดีๆก็อย่าลืมนำมาแบ่งปันกัน  แต่ถ้าคุณคิดไม่ออกหล่ะก็ แค่ส่งกระดาษไปรีไซเคิลที่ร้านขายของเก่า หรือลองเข้าร่วมโครงการกระดาษเพื่อต้นไม้ ก็จะเป็นประโยชน์ทวีคูณทีเดียว (ดูรายละเอียดใน www.paper4trees.org)



ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อการใช้กระดาษอย่างคุ้มค่า
*  “โครงการกระดาษเพื่อต้นไม้” ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.paper4trees.org/
*  มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย  ถ.ราชวิถี กรุงเทพฯ โทร 0-2354-8365-8   
*  วงษ์พาณิชย์ http://www.wongpanit.com/wpnnew/





 ขอบคุณข้อมูลจาก
1 กำธร สถิรกุล,2515. อ้างใน http://www.aroonprinting.com/Knowledge/01.asp
5. มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย
420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

โทรศัพท์ 0-2354-8365-8 , 0-2354-8370-1  โทรสาร 0-2354-8369
6.ภาพกระดาษ http://www.tatgreenheart.com/archives/574